วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Penelope: คำสาปจะร้ายแรงหรือไม่ อยู่ที่ว่า เราใส่ใจมันรึเปล่า

นางสาว “เพเนโลปี้ วิลเฮิร์นส” เป็นสาวน้อยที่เกิดมาในตระกูลผู้ดีมีเงิน แต่ดันโชคร้ายมีจมูกเหมือนหมู เพราะต้องคำสาปจากนางแม่มดเฒ่า ผู้โกรธแค้นบรรพบุรุษตระกูล “วิลเฮิร์นส”ของเธอที่มาผูกสัมพันธ์รักใคร่กับลูกสาวของนางซึ่งเป็นสาวใช้ในบ้าน “วิลเฮิร์นส” และประกาศจะแต่งงานกับสาวใช้ผู้นั้น แต่สุดท้ายเพราะความแตกต่างทางด้านชนชั้น เขาจึงต้องทอดทิ้งลูกสาวของนางแม่มด แล้วไปแต่งงานกับหญิงสาวที่มีฐานะทัดเทียมกันแทน ทำให้ลูกสาวของนางแม่มดเสียใจจนถึงกับฆ่าตัวตายประชดความรักที่ไม่สมหวัง ด้วยเหตุนี้นางแม่มดจึงสาปแช่งให้คนตระกูล “วิลเฮิร์นส” ต้องพบกับความเจ็บปวดเสียบ้าง นางสาปว่า เมื่อใดก็ตามที่คนในตระกูลนี้ให้กำเนิดลูกสาวออกมา ขอให้ลูกสาวของตระกูล “วิลเฮิร์นส” มีใบหน้าเป็นหมูน่าเกลียด น่าชัง และจะแก้คำสาปนี้ได้ก็ต่อเมื่อ มีคนที่ฐานะเท่าเทียมกันกับเธอมารักเธอเท่านั้น





และนับว่าเป็นโชคดีของตระกูล “วิลเฮิร์นส” ที่พวกเขาให้กำเนิดแต่ลูกชายมาตลอดห้าชั่วอายุคนที่ผ่านมา จึงรอดพ้นจากคำสาปของนางแม่มดเฒ่ามาได้ กระทั่งมาถึงคนรุ่นที่ 6 ของตระกูล พวกเขาก็ให้กำเนิดลูกสาวออกมาจนได้ และแน่นอนว่าในที่สุดคำสาปก็ได้ทำหน้าที่ของมันเสียที เพราะทารกน้อยที่ออกมาจากท้องของมารดานั้น มีหน้าตาไม่ต่างอะไรกับหมูอู๊ดๆ ที่อยู่ในเล้าเลยแม้แต่น้อย เล่นเอา “เจสสิก้า” ผู้เป็นแม่ที่แม้จะรู้อยู่แล้วว่าหากลูกของตัวเองเกิดมาเป็นหญิง จะต้องมีหน้าตาเป็นยังไง ก็ยังมิวายที่จะแหกปากร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนกตกใจ



และทันทีที่ผู้เป็นแม่พักฟื้นจากการคลอดลูกจนแข็งแรงขึ้นแล้ว เธอก็รีบหอบลูกไปหาศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที เผื่อว่าหมอจะพอหาทางผ่าตัดศัลยกรรมจมูกที่ย่นและยกรั้งขึ้นเหมือนหมูนั้นออกไปได้ และมอบใบหน้าใหม่ที่สวยงามให้กับลูกสาวของเธอแทน แต่เมื่อหมอเอ็กซเรย์ใบหน้าของเด็กน้อยออกมาดูแล้ว ปรากฏว่าจมูกหมูนั้นมีเส้นเลือดสำคัญๆ เชื่อมโยงกันอยู่เต็มไปหมด มันไม่ใช่เพียงหน้ากากหมูที่สวมในวันฮัลโลวีนที่นึกจะถอดออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ สามีภรรยา “วิลเฮิร์นส” เลยจำต้องยอมรับสภาพความขี้ริ้วขี้เหร่ของลูกสาวตัวเอง และตั้งชื่อให้เด็กน้อยว่า “เพเนโลปี้”


เพราะความผิดปกติของใบหน้านี่เอง หนูน้อย “เพเนโลปี้” เลยถูกเลี้ยงมาให้เติบโตอยู่แต่ในบ้าน ไม่เคยได้ออกไปวิ่งเล่นท่ามกลางแสงแดดข้างนอกบ้านตามประสาเด็กวัยกำลังซนเลย เพราะ “เจสสิก้า” แม่ของเธอหวั่นเกรงว่าลูกสาวจะถูกเด็กคนอื่นแกล้ง และล้อเลียน “เจสสิก้า” วิตกกังวลมากจนถึงกับต้องแกล้งทำเป็นฝังและเผาโลงศพเปล่าๆ ของลูก เพียงเพื่อลวงให้สื่อมวลชนกระหายเลือดที่จ้องจะเปิดโปงเรื่องน่าอายของตระกูลผู้ดี หลงเชื่อว่าลูกสาวผู้แปลกประหลาดของตระกูล “วิลเฮิร์นส” ได้ตายไปแล้ว



และเมื่อ “เพเนโลปี้” เติบโตเป็นสาวสะพรั่ง ผู้เป็นแม่ก็ได้พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหาคู่ที่มีฐานะเท่าเทียมกันมาแต่งงานกับลูกสาวให้ได้ เพื่อจะได้ลบล้างคำสาปดึกดำบรรพ์นั่นไปซะ และคืนใบหน้าสวยสดใสให้กับ “เพเนโลปี้” เสียที ปฏิบัติการตามล่าหาหนุ่มหล่อตระกูลผู้ดีจึงเริ่มขึ้น ชายหนุ่มเกรดเอคนแล้วคนเล่าถูกเชิญให้มาพูดคุยกับ “เพเนโลปี้” ในห้องที่ติดกระจกเงาบานใหญ่เอาไว้ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วกระจกเงาบานนั้น คือกระจกสองด้าน ที่ชายหนุ่มในห้องจะมองไม่เห็นเลยว่า “เพเนโลปี้” ที่พวกเขาคุยด้วย กำลังนั่งมองกิริยาท่าทางของพวกเขาอยู่หลังกระจกบานนั้นนั่นเอง


และเมื่อการพูดคุยดำเนินไปได้สักระยะหนึ่ง “เพเนโลปี้” ก็จะเดินออกมาจากห้องลับของเธอ เพื่อให้ชายหนุ่มที่คุยด้วยได้ยลโฉม ซึ่งเมื่อพิธีการดูตัวดำเนินมาถึงขั้นตอนนี้ ทุกๆ คนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ของเธอ พ่อบ้านผู้ดูแลครอบครัวเธอมานานแสนนาน และแม่สื่อผู้พยายามอย่างที่สุดที่จะหาคู่ดีๆ มาให้เธอ ต่างก็นั่งลุ้นกันตัวเกร็งอยู่หน้าโทรทัศน์วงจรปิด ว่าชายหนุ่มรายนี้จะวิ่งหนีป่าราบออกไปอีกรึเปล่า เมื่อได้เห็นใบหน้าแบบ “หมูๆ” ของนางสาว “เพเนโลปี้”....และความเป็นจริงก็คือ ไม่มีหนุ่มคนไหนที่ไม่วิ่งหนีออกไปเลย เมื่อได้เห็นหน้าเธอ!!





การโดนปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่านี่เอง ที่สั่นคลอนโลกใบเล็กๆ ของ “เพเนโลปี้” โลกที่แม่ของเธอสร้างให้ และจับเธอยัดเข้าไปในนั้น... โลกที่แม่ของเธอเฝ้าแต่ฝันว่า สักวันคงจะมีผู้ชายดีๆ มารัก “เพเนโลปี้” แม้ว่าเธอจะมีหน้าตาเหมือนหมูก็ตาม...แต่ “เจสสิก้า” ผู้เป็นแม่ไม่ได้รู้เลยว่า การโดนปฏิเสธจากใครก็ไม่สร้างความเจ็บปวดให้กับ “เพเนโลปี้” เท่ากับที่โดนแม่แท้ๆ ของตัวเองปฏิเสธ...เพราะ “เจสสิก้า” นั้นเฝ้าแต่ย้ำคิดย้ำทำว่าลูกของตัวเองไม่สวย ลูกของตัวเองผิดปกติ สมควรจะถูกเก็บไว้แต่ในบ้านเท่านั้น และคงไม่มีวันจะพ้นจากอ้อมอกของเธอไปได้ เพราะลูกทำอะไรไม่เป็น





แต่สุดท้ายด้วยแรงฮึดที่อยากจะออกไปจากกรงทอง ออกไปเจอโลกภายนอกกับเค้าบ้าง... “เพเนโลปี้” ก็ตัดสินใจขโมยเครดิตการ์ดของแม่ แล้วแอบหนีออกจากบ้านมาตอนกลางดึก และทันทีที่เธอเปิดประตูรั้วบ้านที่กั้นเธอไว้จากโลกภายนอก ออกไปสู่ถนนอันคลาคล่ำในยามราตรี ความสวยงามตระการตาของเมืองใหญ่ก็ทำให้เธอถึงกับตะลึงงัน!!! โลกภายนอกไม่เห็นจะน่ากลัวเหมือนที่แม่บอกเลยนี่นา!!!



การตัดสินใจหนีออกจากบ้านเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น เพราะในที่สุดหญิงสาววัย 25 ปี ที่ซ่อนตัวอยู่ในโลกของตัวเองมานานแสนนาน ก็เปิดเผยตัวเองต่อผู้คนและสังคมจนได้ การเปิดเผยตัวเองในครั้งนี้ ทำให้เธอไม่ต้องลำบากลำบนปิดบังหน้าตาอีกต่อไป เธอสามารถเดินไปไหนๆ ก็ได้ ทำอะไรก็ได้ และไม่มีใครกล้ามาล้อเลียนเธอเลยสักคน เพราะ


“เพเนโลปี้” ไม่เคยทำตัวให้คนอื่นรู้สึกว่า เธอ “แปลกประหลาดและน่าสมเพช”.... ที่สำคัญคือการที่ “เพเนโลปี้” กล้าเปิดเผยตัวเองให้โลกได้เห็น ก็เท่ากับเป็นการยอมรับตัวเองอย่างที่ตัวเองเป็น เพราะถ้าตัวของตัวเองไม่คิดว่าตัวเองแปลกประหลาดแล้วล่ะก็ คนอื่นก็จะไม่สนใจมัน และมองข้ามมันไปเหมือนกัน




และเพราะ “เพเนโลปี้” ยอมรับตัวตนของตัวเองได้ เธอจึงชอบที่ตัวเองมีจมูกหมูแบบนั้น และไม่เคยคิดที่จะหาชายสูงศักดิ์คนใดมาแก้คำสาปให้เธอเลย ด้วยเหตุนี้เธอจึงวิ่งหนีออกมาจากงานแต่งงานของตัวเองกับหนุ่มหล่อตระกูลผู้ดีที่นิสัยยอดแย่ และทะเลาะกับ“เจสสิก้า” ผู้เป็นแม่ที่ยังคงหวังจะให้ลูกสาวพ้นจากคำสาปเสียที และยังคงไม่ยอมรับตัวตนของลูกสาวตัวเองอยู่ดี.... สุดท้ายเมื่อแม่ดึงดันมากๆ เข้า “เพเนโลปี้” เลยตะโกนออกมาอย่างเหลืออดว่า “ก็หนูชอบที่เป็นแบบนี้!!!”



พลันที่สิ้นประโยคนั้น คำสาปก็ถูกลบล้างลงไปในทันใด!!!!




ที่แท้วิธีการแก้คำสาปก็แค่ง่ายๆ....แค่ยอมรับตัวเอง และรักตัวเองอย่างที่ตัวเองเป็นก็พอ นั่นก็เท่ากับเป็นการทำให้ทุกคนเท่าเทียมกันได้ในอีกความหมายหนึ่งของนางแม่มดนั่นเอง....ถ้าเราคิดว่าเราปกติ เราก็ปกติ แต่เมื่อใดที่เราคิดว่าเราไม่ปกติ เราก็จะไม่ปกติ.....




ที่แท้คำสาปชั่วร้ายใดๆ ก็จะไม่มีผลกับจิตใจ และชีวิตของเรา หากเราไม่ใส่ใจมันเสียตั้งแต่แรก...



* * * * * * * * * * * * * *



แม้ว่า Penelope จะเป็นหนังที่เคยเข้ามาฉายในบ้านเราเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งทุกคนก็น่าจะรู้จักกันดี แต่ก็ยังอยากจะหยิบมาเขียนถึงอยู่ดี เพราะกำลังรู้สึกสนใจประเด็นการยอมรับตนเองของเด็ก และการที่พ่อแม่พร่ำบอกลูกว่าเค้าไม่ดีอย่างนั้น อย่างนี้ มันจะมีผลต่อการดำเนินชีวิต และจิตใจของเด็กยังไงบ้าง หนังเรื่องนี้อาจจะชี้ประเด็นที่ว่าเบาไปนิด เพราะมันคือหนังรักโรแมนติคที่เดินตามสูตร แต่ก็ยังมีอะไรหลงเหลือไว้ให้คนที่เป็นพ่อแม่ และคนที่เป็นลูกได้คิดค่ะ นอกเหนือไปจากเรื่องราวความรักแบบหนุ่มสาว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น