วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

The Bandage Club: ผ้าพันแผลสำหรับบาดแผลที่มองไม่เห็น





เมื่อเราถูกมีดบาดมือ และมีเลือดไหลออกมาแดงฉาน เราก็คงจะรีบเดินไปหยิบผ้าพันแผลมาพันมือเอาไว้ เพื่อห้ามเลือด และป้องกันเชื้อโรคเข้าไปในแผล



แต่ว่าถ้าหากใครสักคนมีบาดแผลเกิดขึ้นที่หัวใจล่ะ เราควรจะเอาผ้าพันแผล ไปพันให้เขาที่ตรงไหนดี....ที่หัว....ที่ไหล่...หรือว่าที่หน้าอก.... แต่ไม่ว่าจะเอาไปพันไว้ที่ไหน เลือดก็ยังไม่หยุดไหล และบาดแผลในใจนั้นก็ยังไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอยู่ดี เพราะมันไม่ใช่บาดแผลที่มองเห็นได้ทั่วไป แต่เป็นบาดแผลที่อยู่ลึกลงไปข้างใน ลึกลงไป ลึกลงไป จนไม่มีใครรู้ว่ามันอยู่ตรงไหนกันแน่ ดังนั้นมันจึงเป็นบาดแผลที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น และถ้าหากใครสักคนอยากจะมองเห็นบาดแผลที่ว่านั่น สิ่งที่เขาต้องใช้เพื่อที่จะมองให้เห็นบาดแผล จึงไม่ใช่ดวงตา แต่เป็นหัวใจ....







“วาระ” เป็นเด็กสาวชั้นมัธยมปลายที่อาศัยอยู่กับแม่ และน้องชายในอพาร์ตเมนท์เล็กๆ แห่งหนึ่ง เธอบังเอิญทำมีดบาดข้อมือตัวเอง ตอนที่กำลังจะเฉือนถุงอาหารสำเร็จรูปจากร้านสะดวกซื้อ เพื่อเอามาอุ่นให้ตัวเองกับน้องชายกินเป็นอาหารเย็น ....วันรุ่งขึ้น “วาระ” จึงรีบไปหาหมอที่โรงพยาบาล เพื่อให้หมอช่วยทำแผลให้ แต่หมอกลับเข้าใจว่าเธอเป็นเด็กมีปัญหาที่พยายามจะเชือดข้อมือตัวเอง เพื่อฆ่าตัวตาย “วาระ” ได้แต่อึ้งที่หมอคิดแบบนั้น แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่ได้อธิบายความจริงให้หมอฟัง ว่าเธอได้บาดแผลที่ข้อมือนั้นมายังไง





และบนดาดฟ้าของโรงพยาบาลแห่งนั้น ขณะที่ “วาระ” กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งภวังค์ และปีนขึ้นไปบนราวกั้นของดาดฟ้า เพื่อจะปล่อยผ้าพันแผลที่พันบาดแผล “ฆ่าตัวตาย” ปลอมๆ ของเธอ ให้ล่องลอยไปในอากาศ “วาระ” ก็ได้พบกับเด็กหนุ่มแต่งตัวประหลาดคนหนึ่ง ที่มาพร้อมกับสายน้ำเกลือระโยงระยาง และถามเธอว่า เมื่อกี๊นี้เธอกำลังจะฆ่าตัวตายใช่มั๊ย และเมื่อเห็นผ้าพันแผลของ “วาระ” ที่ลอยไปติดอยู่กับรั้วเหล็กกั้นแถวๆ นั้น เขาก็มองไปที่ข้อมือของเธอ และถามขึ้นมาอีกครั้งว่า เพราะเธอกรีดข้อมือตัวเองแล้วไม่ตายใช่มั๊ย เลยจะมากระโดดตึกแทน





เมื่อได้ยินคำถามแบบนั้น “วาระ” ก็หัวเสียสุดๆ ที่ถูกเข้าใจผิดอีกแล้ว เธอรู้สึกว่าทำไมใครๆ ก็ชอบพูดอะไรโดยไม่คิดถึงจิตใจของอีกฝ่าย และชอบทำเหมือนกับว่าตัวเองเข้าใจชีวิตของคนอื่นเป็นอย่างดี ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วไม่ได้รู้อะไรเลยสักอย่างเดียว.... คำพูดของ “วาระ” ทำให้เด็กหนุ่มประหลาดคนนั้นนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็พูดขึ้นมาว่า “เธอกำลังมีเลือดไหล”..... "วาระ" สงสัยว่าเธอมีเลือดไหลตรงไหนกัน ก็แผลที่ข้อมือมันเริ่มจะแห้งแล้วนี่นา..... "เธอกำลังเลือดไหลที่หัวใจ" เด็กหนุ่มบอกอย่างมั่นใจ “วาระ” เลยบอกกับเขาว่า ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาไม่ห้ามเลือดให้เธอซะล่ะ !!





เด็กหนุ่มประหลาดมองผ้าพันแผลของ “วาระ” ที่เขาถืออยู่ในมือตัวเอง แล้วจู่ๆ เขาก็เอาผ้าพันแผลที่เมื่อ 10 นาทีก่อนมันยังอยู่บนข้อมือของ “วาระ” ไปผูกไว้กับราวระเบียงของดาดฟ้า แล้วปล่อยให้มันปลิวไสวล้อเล่นกับสายลมไปเรื่อยๆ....และทั้งๆ ที่ “วาระ” เองก็เห็นอยู่ว่า เด็กหนุ่มประหลาดคนนั้นแค่ผูกผ้าพันแผลของเธอเอาไว้เฉยๆ ไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรเป็นพิเศษเลยสักนิด แต่ทว่าเมื่อเธอมองไปที่ผ้าพันแผลสีขาว ที่กำลังโบกสะบัดตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าจัดในยามเย็น เธอกลับรู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับว่า “เลือด” ที่มองไม่เห็นกำลังหยุดไหล และ “แผล” ที่มองไม่เห็นก็กำลังได้รับการเยียวยาอยู่





ก่อนจากกันเด็กหนุ่มบอกกับ “วาระ” ว่า เขาชื่อ “อิเดโนะ ทัตซึยะ” หรือ “ดิโนะ” และเขาก็ถามชื่อเธอกลับ แต่ “วาระ” ไม่สนใจจะบอก เธอเดินจากมาโดยไม่ได้บอกชื่อของตัวเองกับเด็กหนุ่ม แถมยังทิ้งท้ายแบบไม่ใยดีว่า “ถ้ามีคนชอบที่นายทำก็คงจะดี” แล้ว “วาระ” ก็เดินจากไปพร้อมกับความสงสัยในใจว่า ความเจ็บปวดในใจเธอมันจางหายไปได้ยังไงกัน กะอีแค่เอาผ้าพันแผลไปผูกไว้กับราวระเบียง





และความสงสัยนี้ก็ยังคงติดอยู่ในใจของ “วาระ” มาโดยตลอด แม้ในภายหลังเธอจะหยิบยืมเอาไอเดียผ้าพันแผลนี้ไปทำให้กับ “ชิโอะ” เพื่อนรักของเธอ ที่เพิ่งจะอกหักมา ด้วยการผูกผ้าพันแผลของเธอไว้บนชิงช้าตัวที่ “ชิโอะ” นั่ง เพื่อรักษาบาดแผลในใจให้กับ

“ชิโอะ” ...และถึงแม้เพื่อนรักจะร้องไห้ด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับได้ระบายความอัดอั้นตันใจออกมาจนหมด แต่ "วาระ" ก็ยังคงค้างคาใจอยู่ดี ว่าแค่การเอาผ้าพันแผลไปผูก ไปพันไว้ในสถานที่ที่ทำให้เกิดบาดแผลในใจ มันจะช่วยเยียวยาหัวใจที่เจ็บปวดได้จริงหรือ





และทั้งๆ ที่ยังไม่เชื่อในเรื่องการผูกผ้าพันแผลให้กับสถานที่ที่ทำให้ผู้คนเจ็บปวด แต่ “วาระ” ก็ยังตาม “ชิโอะ” กับ “กิโมะ” เพื่อนผู้ชายอีกคน ไปตั้งชมรม “ผ้าพันแผล” ขึ้นอยู่ดี เพราะเพื่อนๆ ของเธอรู้สึกว่า มันเป็นความคิดที่เจ๋งมาก ในการช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ในใจให้กับคนอื่น พวกเขาไปชักชวน “ดิโนะ” ผู้เป็นคนต้นคิดของเรื่องนี้มาเข้าร่วมชมรมด้วย และไปตาม “ริสกี้” หรือ “ริสซึกิ” อดีตเพื่อนซี้ร่วมกลุ่มของ “วาระ” กับ “ชิโอะ” มาเข้าร่วมด้วยอีกคน





พวกเขาทั้ง 5 คน ตั้งเว็บไซต์ของชมรมขึ้นมา และเปิดรับคำร้องขอจากผู้คนที่ต้องการให้พวกเขาไปพันผ้าแผลให้ ณ สถานที่ที่ทำให้เกิดบาดแผลในใจ โดยเมื่อพันผ้าพันแผลให้กับสถานที่นั้นๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็จะถ่ายรูปสถานที่แห่งนั้นที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาวบริสุทธิ์ ส่งไปให้แก่ผู้ร้องขอ ร่วมทั้งโพสต์รูปเหล่านั้นไว้บนเว็บไซต์ของชมรมด้วย หากเจ้าของเรื่องอนุญาต ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานี้ “ชมรมผ้าพันแผล” ไม่คิดค่าใช้จ่ายกับผู้ร้องขอเลยสักเยนเดียว....พวกเขาทำตัวเหมือนกับเป็นองค์กรไม่หวังผลกำไร





จนมาวันหนึ่ง “วาระ” ก็เริ่มจะได้คำตอบแล้วว่า ทำไมการออกไปพันผ้าแผลให้กับบาดแผลในใจของคนอื่น ถึงได้เป็นการช่วยเยียวยาหัวใจที่บาดเจ็บให้กับคนเหล่านั้นได้ เมื่อมีเด็กสาวคนหนึ่งส่งคำขอมายังพวกเขา ว่าให้ช่วยไปพันผ้าพันแผลที่ร้าน “รูบิคอน” ที่ปัจจุบันเป็นตึกร้างไปแล้วให้หน่อย โดยที่เด็กสาวผู้นั้นไม่ยอมบอกเหตุผลที่เธอขอให้พวก “ชมรมผ้าพันแผล” ช่วยไปที่นั่น แต่ “กิโมะ” พอจะรู้เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในสถานที่แห่งนั้นอยู่บ้าง “ฉันเคยได้ยินมาว่า มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งถูกข่มขืนที่นั่น....”





เมื่อสมาชิก “ชมรมผ้าพันแผล” ไป

ถีงร้าน “รูบิคอน” พวกเขาก็ถึงกับอึ้ง

กันไปพักใหญ่ เมื่อต้องพบเจอกับเศษซากของความเกลียดชัง และความรุนแรงในสถานที่แห่งนั้น.... มันมีทั้งไม้เบสบอลเก่าๆ ที่ดูเหมือนจะเปื้อนเลือดเสียด้วย แล้วยังมีขวดสีสเปรย์ พร้อมทั้งถ้อยคำหยาบคายที่ถูกพ่นเอาไว้บนกำแพงว่า “ฉันจะฆ่าแก” และเศษเสื้อผ้าผู้หญิง กับเสื้อชั้นในเก่าๆ ตัวหนึ่งที่ถูกวางทิ้งเอาไว้บนโซฟา เหมือนมันเป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์เลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นที่นี่อย่างไร อย่างนั้น....





แต่แม้จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นที่นั่น ทว่าพวก “ชมรมผ้าพันแผล” ก็ยังไม่รู้ว่าคราวนี้พวกเขาจะจัดการกับความเจ็บปวดในหัวใจของผู้ร้องขอรายนี้ยังไงดี เพราะมันไม่ใช่แค่การโหนราวไม่ขึ้น หรือยิงลูกฟุตบอลเข้าประตูตัวเอง ซึ่งเป็นบาดแผลในใจของผู้ร้องขอรายก่อนๆ ที่รักษาให้หายได้ง่ายกว่ากรณีนี้.... และเพราะทุกคนมัวแต่นิ่งอึ้งกันอยู่ นี่เอง “ดิโนะ“ จึงเกิดช่วงสุญญากาศขึ้นมา และเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับความสูญเสียของผู้ร้องขอรายนี้ จนถึงกับทำลายข้าวของที่อยู่ในนั้นอย่างบ้าคลั่ง ด้วยเหตุผลว่า “กับสถานที่แบบนี้ ผ้าพันแผลจะไปช่วยอะไรได้”





แต่ในขณะที่ “ดิโนะ” กำลังตกอยู่ในช่วงสุญญากาศที่บ้าคลั่ง “กิโมะ” กลับตกอยู่ในช่วงสุญญากาศที่โศกสลดแทน เพราะเขาได้พบสิ่งของบางอย่าง ที่ไปสะกิดบาดแผลในใจของเขาขึ้นมาเหมือนกัน..... มันคือ “หลอดแก้ววิทยาศาสตร์” ที่เชื่อมโยงเข้ากับเรื่องราวเลวร้ายในอดีต ที่ยังคงฝังอยู่ในใจของ “กิโมะ” มาจนถึงปัจจุบัน และเพราะความทรงจำที่เลวร้ายของตัวเองถูกปลุกขึ้นมา “กิโมะ” จึงสามารถเข้าใจถึงความเจ็บปวดของผู้ร้องขอรายนี้ได้ดีกว่าเพื่อนคนอื่นๆ และรู้ว่าคราวนี้พวกเขาควรจะต้องจัดการกับ “สถานที่ที่ทำให้เกิดบาดแผลในใจ” ยังไงดี





และนั่นเองที่ทำให้ “วาระ” ได้พบกับคำตอบที่ว่า ทำไมเธอถึงรู้สึกดีขึ้นมา เมื่อมองไปยังผ้าพันแผลที่ “ดิโนะ” เอาไปผูกไว้กับราวระเบียงบนดาดฟ้าของโรงพยาบาลเมื่อคราวก่อน.....เธอเข้าใจแล้วว่า การที่ผ้าพันแผลนั้นถูกผูกโดยใครสักคนที่เข้าใจถึงความเจ็บปวดของคนอื่นอย่างแท้จริง เสมือนว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง และไม่มองเห็นความเจ็บปวดของคนอื่นเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยขี้ปะติ๋ว มันก็จะทำให้บาดแผลนั้นๆ ได้รับการเยียวยารักษาด้วยมือที่มองไม่เห็น มือของคนที่ใส่ใจ มือที่คนที่มีบาดแผลในใจทุกคนรอคอย....มันคือ “มือของความเข้าใจ” นั่นเอง




เมื่อช่วยเยียวยาบาดแผลในใจให้คนอื่นมากขึ้นๆ “วาระ” และเพื่อนๆ ของเธอที่ดูเหมือนจะมีบาดแผลในใจกันทุกคน ก็เริ่มเข้าใจชีวิต และเริ่มเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นมากขึ้น เช่นกัน อย่างตัว “วาระ” เองนั้น หลังจากที่มักจะทำตัวเย็นชากับแม่ผู้ทำงานหนักของเธออยู่บ่อยๆ สุดท้าย “วาระ” ก็เริ่มเข้าใจแม่มากขึ้นว่า แม่เองก็คงมีความเจ็บปวดฝังอยู่ในใจเหมือนกัน และคงจะมีแต่ลูกๆ เท่านั้น ที่จะช่วยเยียวยามันได้ และแม่ของเธอก็คงกำลังรอคอย “มือของความเข้าใจ” จากเธออยู่เช่นกัน









บางทีการที่คนเราต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดของตัวเองเพียงลำพัง ในสังคมที่ทุกคนสนใจแต่เรื่องของตัวเอง และมองความทุกข์ในใจของคนอื่น เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ไม่สลักสำคัญอะไร จนเมื่อมีใครสักคนยอมปล่อยตัวเองให้จมดิ่งลงไปในความทุกข์ของคนอื่น เหมือนกับว่ามันเป็นความทุกข์ของตัวเองด้วย ก็อาจทำให้ใครสักคนที่กำลังเจ็บปวดอยู่ รู้สึกได้ว่า เขาไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไป...และเมื่อนั้น บาดแผลที่อยู่ในใจก็จะเริ่มจางหาย เลือดจะเริ่มหยุดไหล และรอวันสมานคืนเป็นเนื้อเดียวกัน





*************





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น