วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

5 แพร่ง : คนที่ฆ่าฉัน



เมื่อเท้าน้อยๆ ของลูกวางอยู่บนฝ่ามือของแม่ มันคือพันธะสัญญาที่คนเป็นแม่จะรับรู้ได้เองโดยอัตโนมัติ ว่านี่คือชีวิตน้อยๆ ที่ตนเองจะต้องดูแล และทะนุถนอมไปตลอดตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจอยู่.....และแน่นอนว่าดวงจิตอันบริสุทธ์ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ของผู้เป็นลูก ก็ย่อมรับรู้ได้ด้วยเช่นเดียวกันว่า “มืออันแข็งแรงแต่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนนี้ จะคอยปกป้องดูแลเขาตลอดไป”....


และด้วยเหตุนี้เองมนุษย์จึงโหยหาอ้อมกอดที่อบอุ่นดั่งครรภ์มารดาอยู่เสมอ และมักนึกถึงผู้เป็นแม่ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เมื่อยามที่รู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะด้วยพันธะสัญญาที่ว่านั้น ลูกย่อมรู้ดีว่า ถ้าแม่สามารถมาปกป้องตนเองได้ แม่ก็จะต้องทำอย่างแน่นอน....แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม




เพล้ง !!!!!!



เมื่อวัตถุหนักทึบอย่างก้อนหินลอยไปปะทะกับกระจกหน้าของรถยนต์ที่กำลังวิ่งสวนมาอย่างรวดเร็ว หินก้อนนั้นก็พุ่งทะลุเข้าไปในตัวรถ แล้วกระแทกเข้ากับศีรษะของคนขับอย่างแรงประหนึ่งปั้นจั่นยักษ์ที่เหวี่ยงเข้าใส่ตึกร้าง เพื่อทุบทำลาย.... เด็กหนุ่มที่ขว้างหินก้อนนั้นรีบลงจากรถมอเตอร์ไซค์ที่เพื่อนขี่ เพื่อไปดูผลงานของตัวเอง และเพื่อฉกชิงทรัพย์สินของเหยื่อที่กำลังรอความตายอยู่ในรถ


แต่พลันที่สายตาของเขาปรับจนชินกับความมืดมิดของท้องถนนในยามค่ำคืน และมองเห็นรถเคราะห์ร้ายคันนั้นเต็มๆ สองตา ความคึกคะนองก่อนหน้าที่จะลงมือปฏิบัติการก็มลายหายไปจนหมดสิ้น สิ่งที่วิ่งเข้ามาแทนที่คือปั้นจั่นยักษ์อันเดียวกันกับที่เหวี่ยงกระแทกเข้าใส่ศีรษะของผู้เคราะห์ร้ายที่อยู่ตรงหน้า...


คนที่นั่งจมกองเลือดอยู่หลังพวงมาลัยรถคันนั้น คือ “พ่อ” ของเขาเอง !!!!!

แม้ภายนอกจะดูก้าวร้าว ดื้อดึงดัน และไม่ยอมใคร แต่แท้จริงแล้วข้างในใจของเป้กำลังคิดอะไรอยู่ แม้แต่ผู้เป็นแม่ก็ไม่เคยเข้าใจ และไม่เคยเข้าถึง เพราะเธอแยกทางกับพ่อของเป้ ไปอยู่กับสามีใหม่ตั้งนานแล้ว และทิ้งลูกชายไว้กับผู้เป็นพ่อตั้งแต่เขายังเล็ก เด็กชายเป้จึงโตขึ้นมากับคำพูดที่พ่อคอยฝังหัวเอาไว้ว่า “แม่แกมันร่าน ถึงได้หนีไปอยู่กับคนอื่น”


จากเด็กชายตัวน้อย ที่มีรอยยิ้มสดใสอยู่ในรูปถ่ายใบที่ผู้เป็นแม่เฝ้าถนอมไว้ในกรอบรูปสวยงาม ค่อยๆ กลายร่างเป็นคนแปลกหน้าของครอบครัว ที่ชิงชังแม่ตนเอง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังอยากได้ความรักจากแม่กลับคืนมา ให้เหมือนเมื่อครั้งที่ตัวเองยังคงเป็นเด็กเล็กๆ ทว่าแทนที่เป้จะแสดงออกให้แม่รู้ว่า เขาต้องการอ้อมกอดอันอบอุ่นของแม่มากแค่ไหน เขากลับสาดคำพูดที่เป็นคมมีดกรีดลงในใจของแม่ และในใจของเขาเอง

“แม่น่ะร่าน....พ่อบอกว่าแม่น่ะร่าน...แม่ไม่ได้ รั ก ผมหรอก !!”




แม่ตบหน้าเป้ฉาดใหญ่ แต่แววตาของเธอเจ็บปวดมาก เพราะลูกชายสุดที่รักเพิ่งตัดพ้อว่าเธอไม่ได้รักเขา ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่จริงเลย แต่คนเป็นแม่ บางทีก็ใช่ว่าจะสื่อสารได้เข้าถึงใจลูกเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเธอเป็นคนทอดทิ้งเขาไปเอง และไม่เคยพยายามจะถมความว่างเปล่าในใจลูกให้เต็มเลยสักครั้ง กระทั่งมันสายเกินไป....


แม่จึงพยายามจะแก้ไขสิ่งผิดพลาดในครั้งนั้น ด้วยการพาเป้ไปบวชในวัดกลางป่า กลางเขาแห่งหนึ่งทางภาคใต้ เพื่อให้ลูกชายรอดพ้นจากเงื้อมมือกฎหมาย ไม่ต้องรับโทษทัณฑ์ ฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่แม่หารู้ไม่ว่า แม้มือของกฎหมายจะเอื้อมมาไม่ถึงตัวเป้ แต่มือของบางสิ่ง กำลังวิ่งไล่ตามเป้มาอย่างกระชั้นชิด และมันจะต้องตามหาเป้จนเจออย่างแน่นอน


เพราะสิ่งนั้นคือ.....


ร ร ม !!!!

เมื่อเณรเป้ถูกทิ้งให้อยู่ในวัดกลางป่า ที่รกเรื้อและเต็มไปด้วยเงามืดทุกทิศทุกทาง ความรู้สึกผิดบาปที่เฝ้ากัดกินใจของเขา และแรงเหวี่ยงจากปั้นจั่นยักษ์ในคืนที่พ่อตาย ยังคงส่งผลรุนแรงอยู่เสมอ ทุกๆ ครั้งที่เขาหลับตา น้ำหนักของก้อนหินในมือ แรงเหวี่ยงของหัวไหล่ ความรู้สึกเมื่อก้อนหินปะทะเข้ากับกระแสลมแรง และเสียงแตกดังเพล้งของกระจกหน้ารถของพ่อ ทุกๆ อย่างยังคงไหลย้อนกลับคืนมาเสมอ และเสมอ




เณรเป้จึงร่ำๆ จะหนีออกจากวัดป่าแห่งนั้นอยู่หลายครั้ง เพราะนอกจากจะกลัวความผิดบาปที่ตามหลอกหลอนอยู่เสมอๆ แล้ว เขายังรู้สึกว่าที่นั่นมีอะไรแปลกๆ ที่มองไม่เห็นอีกด้วย ทั้งตำนานเปรต และพิธีชิงเปรตของคนในท้องถิ่น ทำให้ต้องมี “หลาวชะโอน” (เสาสูงจนแหงนมองคอตั้งบ่า ที่ด้านบนทำเป็นที่วางอาหารและขนมลา เอาไว้เซ่นไหว้ผีเปรตในวันสารทเดือนสิบของภาคใต้) ตั้งอยู่กลางทางเดินใต้ชะง่อนผา ซึ่งจู่ๆ กลางดึกสงัดคืนหนึ่ง เมื่อเณรเป้ออกมาเดินท่อมๆ หาของกิน “หลาวชะโอน” สูงชะลูดนั้นก็หักโค่นลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สร้างความตกใจให้แก่เณรเป้เป็นอันมาก และมันดูเหมือนจะเป็นลางบอกเหตุของอะไรบางอย่าง



แต่เมื่อใดก็ตามที่เณรเป้คิดหนี พระหนุ่มเงียบขรึมรูปหนึ่ง ก็จะต้องเป็นผู้มาพบเขา และพากลับไปยังกุฏิทุกครั้งไป โดยครั้งสุดท้ายที่เณรเป้ถูกพากลับมา พระหนุ่มรูปนั้นพาเณรเป้ไปยังถ้ำแห่งหนึ่งที่พระในวัดเอาไว้ใช้เป็นสถานที่ปลงอาบัติ และก่อนที่พระหนุ่มจะปล่อยเณรเป้ไว้ตามลำพัง ท่านก็ได้ส่งหนังสือสวดมนต์ให้เณรเป้เล่มหนึ่ง และหน้าปกของหนังสือสวดมนต์เล่มนั้นก็เขียนไว้ว่า


“อุณหิสวิชัยคาถา” หรือ “คาถาต่อดวงชะตา” นั่นเอง !!!!


เพราะพระหนุ่มรูปนั้น และท่านเจ้าอาวาส รู้ได้ด้วยญาณของท่านว่า บัดนี้ เณรเป้ชะตาชีวิตได้ขาดลงเสียแล้ว และถ้าหากไม่ทำพิธีสืบชะตาให้ภายในคืนนั้น เจ้ากรรมนายเวรของเณรจะต้องมาตามเอาคืนอย่างแน่นอน เนื่องด้วยกรรมของเณรนั้นหนักหนาสาหัสนัก ทั้งฆ่าพ่อ ด่าแม่ ขโมยของ ทำร้ายผู้อื่น และผิดศีล....

แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครหนีเวรกรรมของตัวเองพ้น เมื่อเณรเป้ถูกก้อนหินที่เขาปาเข้าใส่พุ่มไม้ สะท้อนกลับมาโดนตัวเอง ด้วยแรงเหวี่ยงที่มากกว่าเดิมเป็นสิบๆ เท่า จนใบหน้าที่เคยหล่อเหลา แหลกเหลวจนดูเหมือนก้อนเนื้อที่ใกล้เน่า !!!! เณรเป้ที่เคยเก่งกล้า และคึกคะนองไม่รู้จักคิด ได้แต่นอนร้องโอดโอย ดิ้นพราดๆ ด้วยความเจ็บปวดอยู่บนพื้น พร้อมๆ กับเริ่มรับรู้ถึงความเจ็บปวดของเหยื่อทั้งหลายที่เคยถูกเขาปาหินเข้าใส่รถ....มันเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสอย่างนี้นี่เอง... ไม่เจอกับตัวไม่มีวันเข้าใจ


และในห้วงเวลาก่อนที่เปลวเทียนแห่งชีวิตจะดับลง เณรเป้ก็หยิบโทรศัพท์ที่พ่อทิ้งไว้ก่อนตาย ขึ้นมาโทรหาแม่.....คนเพียงคนเดียวที่รักเขามากที่สุดในโลก และสามารถให้ความอบอุ่นปลอดภัยกับเขาได้มากกว่าใครๆ “แม่ผมขอโทษ....ผมขอโทษแม่ !!!!!...แม่ช่วยผมด้วย.... ”.....แต่อนิจจา เสียงที่แม่ได้ยิน กลับเป็นเพียงเสียง หวีดหวิว ไร้ซึ่งถ้อยคำ.....และก่อนที่เทียนจะดับลงอย่างสมบูรณ์ เณรเป้ก็ตะโกนร้องหาพ่อ “พ่อผมขอโทษ !!!”

เมื่อสิ้นเสียงนั้น และเปลวเทียนแห่งชีวิตได้ดับวูบลง เณรเป้ก็ก้มลงมองมือตัวเอง และเห็นว่ามือนั้นค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น และยาวขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อรู้สึกตัวอีกที ร่างของเขาก็สูงพ้นยอดไม้ไปเสียแล้ว และได้ตกลงไปอยู่ในห้วงเหวอันมืดมิด ที่มืออันแสนอบอุ่นของแม่จะไม่มีวันจะเอื้อมไปถึงอีกเลยชั่วกัปชั่วกัลป์...





**ข้อบ่งใช้ : เพื่ออรรถรสในการอ่านบล็อกนี้และดู "หลาวชะโอน" โปรดฟัง

เพลง
"คนที่ฆ่าฉัน" ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ไป


พร้อมๆ กันด้วยค่ะ เพราะเนื้อเพลง จะบอกสิ่งที่อยู่ในใจเป้ และ


เด็กๆ อีกหลายคนที่มีปัญหา แบบค่อนข้างเกินเยียวยา ให้เรา

ได้รับรู้ถึง
จิตใจ และความเจ็บปวดของพวกเขาได้ด้วยค่ะ



อ่านจนจบแล้ว ทราบหรือยังคะว่า "ใครฆ่าเณรเป้"



จาก Blog ใน http://www.momypedia.com/



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น