วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

In the Way I am: บนเส้นทางชีวิตที่เลือกเดิน

หากเปรียบชีวิตเป็นเหมือนถนนสายหนึ่ง มันก็คงมีหลากหลายเส้นทางที่จะให้เราเลือกเดินไป ทั้งทางตรง ทางอ้อม ทางด่วน ทางลัด ทางกำลังปรับปรุง ทางตัน ฯ ส่วนใครจะเลือกเดินไปตามเส้นทางไหนก็คงสุดแท้แต่ว่าเขาคนนั้นมีสิ่งใดเป็นจุดมุ่งหมายในชีวิตนั่นเอง....




คนบางคนนั้นชีวิตอาจไม่ค่อยมีทางให้เลือกมากมายนัก ด้วยเป็นเพราะว่าต้นทุนของชีวิตที่สวรรค์ให้มามันน้อยนิดเหลือเกิน อย่างเด็กที่ไม่มีเงินเรียนสูงๆ ชีวิตเขาจะเป็นอะไรได้มากไปกว่าคนใช้แรงงานเหรอ ? ชีวิตทางเลือก จะมีอะไรให้เลือกมั๊ย ! คนพวกนี้มีสิทธิ์จะเลือกอะไรให้กับชีวิตตัวเองบ้างมั๊ย ? บางทีเราเลยพบว่าเด็กรวยๆ คนรวยๆ มีทางเลือกให้กับชีวิตตัวเองได้มากกว่าคนจนๆ เดินดินกินข้าวแกงอย่างมากมายมหาศาล....ไม่อยากเรียนเหรอ ? เรียนไม่จบเหรอ ? ... เดี๋ยวพ่อแม่เปิดร้านอะไรสักอย่างให้แล้วกัน จะเอาร้านถ่ายรูปวัยรุ่นดีมั๊ย หรือจะเอาร้านกาแฟไฮเทคดี สปาก็ได้นะ ไม่อยากอยู่เมืองไทยเหรอ หรือทำเรื่องฉาวโฉ่เอาไว้ ก็ไปอยู่เมืองนอกล่ะกัน !! อยากจะพังค์แค่ไหน อยากจะหลุดโลกแค่ไหน หรืออยากจะแนวแค่ไหน ก็ทำได้อยู่แล้ว เพราะมีตังค์ แต่บางทีก็ทำได้แค่เปลือกๆ น่ะ




แต่หลายๆ ครั้ง เราก็กลับพบว่าอีกเช่นเดียวกันว่า คนจนๆ หรือผู้ด้อยโอกาสในสังคมนั้น ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยมีทางเลือกใดๆ ให้กับชีวิตของตัวเองมากนัก แต่ก็มีบางคนจากคนกลุ่มนี้ที่สามารถพลิกชีวิตให้กับตัวเองได้ อย่างเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้...




โซอิชิโร่ ฮอนด้า เกิดในครอบครัวช่างตีเหล็ก ที่ฐานะไม่ได้ร่ำรวยอะไร สมบัติของพ่อแม่ที่จะมอบให้ลูกๆ ก็คือวิชาช่างเหล็ก และกิจการตีเหล็กที่รอให้เขาเข้ามารับช่วงต่อเมื่อโตขึ้น แต่เด็กที่ช่างคิด และกระตือรือร้นอย่างโซอิชิโร่ ที่แม้จะดูซุกซนไปบ้างในสายตาผู้ใหญ่ แต่เขาก็มีความชอบ ความสนใจ และหลงใหลในเรื่องเครื่องยนต์ และรถยนต์เป็นอันมาก ถ้าเห็นรถยนต์มาจอดในหมู่บ้านเมื่อไหร่ เขาจะต้องขอเข้าไปดูใกล้ๆ ทันที บางทีเจอเจ้าของรถใจดีก็ได้สัมผัสตัวถังรถ หรือได้ขึ้นไปนั่งบนรถด้วย โซอิชิโร่หลงใหลกระทั่งกลิ่นของน้ำมันรถด้วยซ้ำ และความหลงใหลนี้เอง ทำให้โซอิชิโร่มีความฝันว่าสักวัน เขาจะต้องสร้างรถยนต์ขึ้นมาด้วยมือของตัวเองให้ได้ แต่...ครอบครัวฮอนด้าไม่ได้เป็นครอบครัวที่ร่ำรวยอะไร ไม่มีเงินส่งโซอิชิโร่เรียนสูงๆ แน่นอน แต่ในเมื่อถ้าอยากทำรถยนต์ ก็ต้องเรียนรู้เรื่องเครื่องยนต์ แล้วโซอิชิโร่จะทำยังถึงจะเข้าใกล้ความฝันของตัวเองได้ล่ะ




เมื่อเรียนจนจบชั้นประถมปลาย โซอิชิโร่แสนลำบากใจที่จะบอกพ่อเหลือเกินว่า เขาอยากจะมีอู่ซ่อมรถเป็นของตัวเอง ยิ่งพอพ่อถามว่าอยากจะเรียนต่อชั้นมัธยมมั๊ย แล้วเขาอ้ำอึ้ง พ่อจึงบอกเขาด้วยความปรานีว่า ไม่ต้องมาสืบทอดกิจการตีเหล็กของพ่อต่อไปก็ได้ ถ้าอยากเรียนต่อก็ไปเรียนได้เลย เมื่อโซอิชิโร่ปลดภาระทางใจเรื่องที่ต้องสืบทอดกิจการของบรรพบรุษลงไปได้แล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือการหาหนทางที่จะไปให้ถึงซึ่งความฝันของตัวเอง ซึ่งโซอิชิโร่พบทางลัดที่จะไปให้ถึงความฝันนั้น โดยที่ไม่ต้องเรียนมหาวิทยาลัย เมื่อเขาเจอประกาศรับสมัครเด็กฝึกงานของบริษัทอาร์ต ซึ่งเป็นอู่ซ่อมรถที่โตเกียว จึงรีบส่งจดหมายไปสมัครทันที....และหลังจากรอแล้วรอเล่า ก็มีจดหมายตอบกลับมาว่ารับโซอิชิโร่เข้าทำงานที่บริษัท....โซอิชิโร่นั้นแม้จะดีใจมาก แต่ก็ยังกังวลว่าพ่อจะไม่เห็นด้วย และไม่ยอมให้เขาไปโตเกียว แต่ปรากฏว่าพอเขาไปบอก พ่อกลับบอกเขาว่าเป็นลูกผู้ชาย ต้องเลือกทางเดินชีวิตของตนด้วยตัวเอง แล้วก็ลงทุนปิดร้านพาโซอิชิโร่ไปฝากฝังกับเจ้าของบริษัทอาร์ตด้วยตัวเอง พอมาได้ถึงขนาดนี้โซอิชิโร่ก็รู้สึกว่าตัวเองได้เข้าใกล้ความฝันของตัวเองมากขึ้นมาอีกก้าวนึงแล้ว แต่โซอิชิโร่คงไม่รู้หรอกว่า ต่อไปความฝันของเขาจะไปได้ไกลกว่าที่เขาเคยหวังเอาไว้ตอนแรกเสียอีก




แต่สิ่งที่รอโซอิชิโร่อยู่ที่บริษัทอาร์ตนั้น กลับกลายเป็นต้องช่วยเลี้ยงเด็กบ้าง ช่วยนายผู้หญิงทำงานบ้านบ้าง รวมทั้งต้องเก็บเสื้อผ้าของพี่ๆ ในอู่ไปซักอีก เมื่อเป็นเช่นนี้โซอิชิโร่ผู้หอบความหวังจากบ้านมาเต็มเปี่ยม จึงรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง เขาเคยประท้วงไปครั้งนึง ด้วยการเขียนคำอุทรณ์ว่าอยากทำงานซ่อมรถซะที แต่ก็ถูกทุกคนเมินเฉย....ครึ่งปีผ่านไป ผ่านทั้งคำล้อเลียน ฉี่เด็ก แล้วไหนยังจะไม่ได้จับเครื่องยนต์ที่อยากจับซะที โซอิชิโร่เลยรู้สึกว่าพอแล้ว ขอลาที กลับบ้านดีกว่า...สบโอกาสตอนดึกทุกคนนอนหลับกันหมด โซอิชิโร่ก็แบกข้าวของขึ้นหลัง และแอบปีนลงมาจากทางหน้าต่าง แต่พอเดินไปได้ครึ่งทาง หน้าพ่อก็ลอยขึ้นมา พร้อมโอวาทที่พ่อให้ไว้ “นี่คือเส้นทางที่ลูกเลือกเองนะ ไม่ว่าจะทุกข์ทรมานแค่ไหนก็ต้องอดทน หนีกลับมาทางบ้านก็ไม่ต้อนรับหรอกนะ” คิดได้ดังนั้น โซอิชิโร่ก็เลยแบกกระเป๋าและความหวังที่ลุกโชนขึ้นมาใหม่กลับไปยัง บริษัทอ าร์ต เหมือนเดิม.....ขณะกำลังจะปีนขึ้นไปก็ได้ยินเสียงบอกว่า ประตูเปิดอยู่ ไม่ต้องปีนหรอก เป็นรุ่นพี่นั่นเอง ที่แอบเห็นตอนเขาหนีออกมา รุ่พี่บอกกับโซอิชิโร่ว่า “ฉันก็เคยหนีจากร้านขายผ้าเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ว่านั่นมันเป็นงานที่ฉันไม่ชอบ แต่อู่ซ่อมรถเนี่ยมันเป็นงานที่ฉันชอบและเลือกเอง ดังนั้นก็ต้องอดทนกับมัน แต่ความอดทนอย่างเดียวก็ไม่พอเสมอไปหรอกนะ ที่สำคัญการที่คิดจะหนีไปก่อนจะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ มันน่าทุเรศ” แล้วบอกให้ดูตัวอย่างจากเด็กฝึกงานคนเก่า ที่ทำงานจิปาถะเหล่านั้นก่อนหน้าที่โซอิชิโร่จะมา ว่าเจ้านั่นก็ต้องอดทนอยู่ตั้งเกือบปี ถึงจะได้เข้าไปทำงานในอู่ เพราะฉะนั้นโซอิชิโร่เองก็ต้องอดทนเช่นเดียวกัน




หลังจากตัดสินใจสู้ต่อ ไม่นานต่อมาโซอิชิโร่ก็ได้รับอนุญาตให้ออกไปเปิดอู่ซ่อมรถที่บ้านเกิดของตัวเอง ซึ่งแรกๆ ก็ไม่ค่อยมีใครเชื่อในฝีมือเท่าไหร่ เพราะเห็นว่ายังเด็กๆ อยู่.... ต่อมาเมื่อลูกค้าคนแรกหลงเข้ามาด้วยความไม่รู้จะไปซ่อมรถที่ไหน ในคืนวันฝนตกหนัก โซอิชิโร่สามารถซ่อมรถให้ลูกค้าได้สำเร็จลุล่วง ชื่อเสียงจึงขจรขจาย ลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากมาย โซอิชิโร่จึงเริ่มีเงินทุนให้ไปค้นคว้าเรื่องเครื่องยนต์อย่างที่ชอบ จนสามารถประดิษฐ์ในแบบของตัวเองได้ ซึ่งทำมาจากจักรยานติดเครื่องยนต์ จากนั้นก็ปรับเลี่ยนรูปแบบและพัฒนาครื่องยนต์มาเรื่อยๆ จนต่อมาก็เริ่มขยายไปสร้างรถยนต์ และเริ่มทำขายเป็นเรื่องเป็นราว โดยตั้งชื่อว่ารถยนต์ “ฮอนด้า” แล้วโปรโมททั้งรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ด้วยการส่งไปแข่งขันที่ต่างประเทศ จนได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ.....ใครจะไปคิดว่าการเลือกเป็นช่างซ่อมรถ ที่ดูเป็นงานไร้เกียรติ จะทำให้ใครกลายเป็นบุคคลสำคัญของโลกไปได้




แต่ใช่ว่าเส้นทางของรถยนต์ฮอนด้าจะราบรื่นอยู่ตลอด โซอิชิโร่ต้องประสบปัญหาขาดทุน และประสบอุบัติเหตุจากการแข่งรถที่เขาลงแข่งด้วยตัวเองเอง แต่โซอิชิโร่ก็ใช้ความมุ่งมั่นที่มีมาแต่เด็กๆ ยังคงทำงานพัฒนาเครื่องยนต์ และฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งชื่อของตระกูลช่างตีเหล็ก กลายมาเป็นชื่อยี่ห้อรถยนต์ที่ผู้คนทั่วโลกนิยมใช้มาจนถึงทุกวันนี้....




นั่นคือเรื่องของคนที่ดูท่าทางไม่น่าจะเลือกอะไรในชีวิตได้เท่าไหร่นัก แต่ก็สามารถสู้จนได้มีชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ.....แล้วกับคนที่ชีวิตก็สุขสบายดีล่ะ.....บางที....การเป็นมนุษย์นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ สมมติว่าคุณรู้ว่าตัวเองเป็นใคร และต้องการจะทำอะไร และคุณมีศักยภาพเพียงพอที่จะทำสิ่งที่คุณต้องการได้....แต่คนรอบข้าง หรือสังคมที่คุณสังกัดอยู่กลับไม่ค่อยเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณคิดหรือสิ่งที่คุณทำเท่าไหร่....แล้วคุณจะทำยังไงดี....




ลองมาฟังเรื่องราวของ ทาคาชิ มูราคามิ ศิลปินร่วมสมัย ผู้ได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์เนมชื่อดัง หลุยส์ วิตตอง ให้ออกแบบกระเป๋ารุ่นใหม่ ก็รุ่นที่เปลี่ยนลายโมโนแกรมสีทึมๆ ให้กลายเป็นสีสันสดใสพร้อมลูกกะตาปิ๊งๆ บนพื้นหนังสีขาวไง ชื่อว่ารุ่น White Murakami ต่อมายังมีรุ่น Black Murakami ที่เป็นลายโมโนแกรมสีสดบนพื้นหนังสีดำ และรุ่นเชอรี่....แล้วนายมูราคามิคนนี้เป็นใครมาจากไหนกันถึงได้มาออกแบบให้กับกระเป๋าแบรนด์ดังระดับโลกอย่างนี้....




ชีวิตของมูราคามิอาจจะดูเพียบพร้อมสุขสบายกว่าโซอิชิโร่สักหน่อย ได้ร่ำเรียนถึงขั้นปริญญาเอกทางด้านศิลปะและดนตรีจากมหาวิทยาลัยโตเกียว ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังของญี่ปุ่น เทียบเท่ากับจุฬาของบ้านเรานั่นแหละ แล้วยังได้แสดงผลงานตามมิวเซียมใหญ่ดังๆ อีกทั่วโลก ส่วนผลงานที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายและเป็นที่จดจำของผู้คนก็คือ ภาพพิมพ์ชื่อ Mr. DOB และงานปูนปั้นสุดทะลึ่ง (ดูได้จากภาพประกอบ)

มูราคามิ ได้รับอิทธิพลในการทำงานจาก มังงะ (หนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น) และอนิเมะ (การ์ตูนอนิเมชั่นญี่ปุ่น) ที่รุ่งเรื่องมากในยุค 80 ซึ่งก็คือตัวการ์ตูนตาแป๋ว (ดูเหมือนงานของมูราคามิ จะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับลูกกะตาโตๆ อยู่เสมอ) จุดยืนของเขาก็คือ ทำให้ศิลปะนั้น เข้าถึงได้ง่าย มีอารมณ์ขัน เสียดสีนิดๆ เข้ากับชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่น และก้าวร้าวพอสมควร ดูไม่ค่อยจะประนีประนอมกับคนดูเท่าไหร่ (ดูได้จากงานปั้นมังงะหนุ่มกับสายยางส่วนตัว) เหตุที่งานต้องแรง ก็เป็นเพราะมูราคามิต้องการให้ผลงานของเขาประทับอยู่ในใจของผู้คนไปนานๆ นั่นเอง “ผมสื่อถึงความสิ้นหวัง”




ที่สำคัญมูราคามิเรียนรู้มาเป็นอย่างดีในเรื่องธุรกิจสิทธิประโยชน์ นั่นคือการนำภาพจากงานของเขาเองไปผลิตเป็นสินค้าสารพัด ไม่ว่าจะเป็น เสื้อยืด แก้วน้ำ พวงกุญแจ ซองมือถือ ผ่านรองเมาส์ ฯลฯ ซึ่งแน่นอนมันทำให้เงินเขามหาศาลทีเดียว ซึ่งตรงจุดนี้แลหะที่ทำให้เขาแตกต่างจากศิลปินรุ่นเก่าๆ ที่มักจะเสียรู้พ่อค้าหัวใสอยู่เสมอ ด้วยนำงานของศิลปินไปผลิต แล้วก็ทำเงินมหาศาล แต่ศิลปินไม่เคยได้อะไรเลย




มูราคามิถูกวางให้เป็น แอนดี้ วอร์ฮอล (ศิลปินชื่อดังระดับโลก) คนต่อไป แต่คนที่ไม่เห็นด้วยมองว่างานของมูราคามิเป็นพาณิชย์ศิลป์มากเกินไป และมองมูราคามิเป็นเพียงนักโฆษณาตัวเอง นายทุนที่เผอิญเป็นศิลปิน... เพราะคนเหล่านี้เห็นว่าผลงานที่จะคลาสสิคได้ และมีชื่อเสียงอยู่อย่างยาวนั้น จะต้องเป็นผลงานที่ถูกแขวนอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ดังๆ เท่านั้น และคนธรรมดาทั่วๆ ไป ก็ต้องเข้าถึงและสัมผัสศิลปะเหล่านั้นยากๆ ด้วย พวกนี้เห็นว่างานของมูราคามิบางงานหยาบเกินไป มีความเป็นมังงะมากเกินไป ซึ่งในสายตาของพวกอนุรักษ์นิยม รู้สึกว่ามังงะนั้นถูกฉาบด้วยน้ำตาลเอาไว้ล่อลวงคนดู และไม่มีความเป็นศิลปะมากพอ เพราะมันหยาบโลนมากเกินไป




ยังไงก็เหอะ อีตานี่ก็สามารถทำให้ชื่อของตัวเองเป็นที่รู้จักติดปากแฟชั่นนิสต้าที่บ้าแบรนด์เนมได้ก็แล้วกัน ตอนนี้ผู้คนเริ่มหันมามองมังงะ และอนิเมะ ในมุมใหม่ๆ มากขึ้น และถึงแม้ว่าเมื่อเอางานของมูราคามิไปวางเปรียบเทียบกับผลงานของศิลปินร่วมสมัยชาวญี่ปุ่นด้วยกันอย่าง โยชิโตโม นาระ เจ้าของผลงานภาพเด็กผู้หญิงหน้าบึ้งๆ ที่บางคนอาจจะเคยเห็นมาบ้าง (ดูภาพประกอบ) อืม....มันช่างดูคอนทราสต์กันเหลือเกิน (ขออนุญาตใช้ภาษาต่างด้าว เพื่ออรรถรสในการเข้าถึงความเข้าใจอันรุนแรงที่มีต่องานของทั้งสองคน) มูราคามิเป็นเหมือนจอมมารบูรพา ส่วนนาระดูเหมือนโลกจะเป็นสีพาสเทลไปเลยงั้นแหละ.....กระนั้นในความเป็น เจ้าตัวก็ไม่แคร์หรอกว่างานของตัวจะดูเป็นงานของคนที่มองโลกในแง่ร้ายอะไรยัง เพราะโลกศิลปะมันควรต้องมีศิลปินหลากหลายแนวมาสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการอยู่เรื่อยๆ ขืนมีแต่คนแบบเดียวเหมือนกันไปหมด โลกก็น่าเบื่อแย่สิ มูราคามิเลยขอเลือกเป็นอย่างที่ตัวเองเป็นนี่แหละ ใครจะว่าไงก็ช่าง....




ยังไงก็ตามขอยืนยันความเชื่อที่ว่าคนเรามีสิทธิ์จะเลือกเป็นอะไรก็ได้ที่เขาอยากจะเป็น แม้มันจะแปลกแตกต่างไปจากเรา หรือจากคนอื่น แต่ก็ไม่แน่ว่าอีกหน่อยมันอาจเป็นสิ่งที่ดีสำหรับตัวเขาและคนรอบข้างก็ได้ แต่บางคนอาจต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเองกันเล็กน้อย ว่าไม่ได้โง่ ไม่ได้บ้า ไม่ได้ดันทุรัง และคนที่เป็นอะไรตามๆ เขาไปเรื่อย ก็ควรจะต้องคิดเอาไว้เป็นการบ้านของชีวิตได้แล้ว ว่าชีวิตตัวเองเกิดมาแล้วจะเลือกเดินไปทางไหนดี ไม่ต้องกลัวจะแปลก ไม่ต้องกลัวจะต่าง ถ้ามันไม่ผิดศีลธรรม จริยธรรม ไม่ได้ไปฆ่าใคร..... อยากทำอะไรก็เริ่มเลย....



จากคอลัมน์ Zoom In ในนิตยสาร ULife

2 ความคิดเห็น:

  1. คนเราสามารถทำตามความฝันได้ โดยไม่จำเป็นต้องเด่นดัง การได้ทำงานที่ชอบที่สุดนั่นแหละ ถึงจะได้งานที่ดีที่สุด เมย์คิดแบบนั้นนะ :)

    ตอบลบ
  2. คนเราสามารถทำตามความฝันได้ โดยไม่จำเป็นต้องเด่นดัง การได้ทำงานที่ชอบที่สุดนั่นแหละ ถึงจะได้งานที่ดีที่สุด เมย์คิดแบบนั้นนะ :)

    ตอบลบ