วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Looper: เมื่อมีสิ่งนี้่ สิ่งนั้นจึงเกิด

Spoiler Warning


                                                        กฎข้อหนึ่งของโลกใบนี้คือ


                                                          "เมื่อมีสิ่งนี้ สิ่งนั้นจึงเกิด"




และ ถ้าไม่มีสิ่งนี้ สิ่งนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นเหมือนกัน


ฉะนั้น ถ้าใครคนหนึ่งไม่อยากให้อะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวเอง หรือกับคนที่ตัวเองรัก คนผู้นั้นก็จะพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะไม่ให้ "สิ่งนี้" มีขึ้น เพื่อจะได้ไม่ต้องส่งผลให้เกิด "สิ่งนั้น" ตามมา


และกฎข้อนี้ ก็คือหัวใจเกือบทั้งหมด ของ "Looper"


เมื่อโลกอนาคตสามารถสร้างเครื่องย้อนเวลาได้ การส่งคนที่ไม่พึงประสงค์กลับมาฆ่าทิ้งในอดีต เพื่อลบคนๆ นั้นออกไปจากโลกโดยที่เงื้อมมือของกฎหมายจะเอื้อมไปไม่ถึง จึงเป็นเรื่องที่เหล่าอาชญากรแกงค์ใหญ่ๆ ของโลกอนาคตนิยมทำกัน แม้ว่าการมี และการใช้เครื่องท่องเวลาจะเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายของโลกอนาคตก็ตาม (เข้าใจว่ากฎมีขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ใครต่อใครย้อนเวลากลับไปแก้ไขนู่นนี่กันได้ตามอำเภอใจ ไม่อย่างนั้นโลกคงถึงกาลวิบัติแน่ๆ)


ที่โลกอดีตมีกลุ่มนักฆ่าที่เรียกกันว่า "Looper" คอยถือปืนปากแตรยืนอยู่ในทุ่งโล่งห่างไกลผู้คน และคอยดูเวลาในนาฬิกาพกอยู่ตลอด เพื่อรอเวลานัดหมาย


เมื่อเข็มวินาทีเลื่อนไปถึงช่วงเวลาที่ทางโลกอนาคตนัดหมายมา บนผืนผ้าพลาสติกเบื้องหน้า ซึ่งทำหน้าที่เสมือนแดนประหาร ก็จะปรากฏร่างของคนใส่เสื้อหนังกลับสีน้ำตาล มีถุงสีขาวคลุมหัว มือถูกมัดไพล่หลัง และในชั่วเสี้ยววินาทีที่บุคคลปริศนานี้โผล่ขึ้นมาบนผืนพ้าพลาสติกแบบปัจจุบันทันด่วน ปืนปากแตรของเหล่า "Looper" จะปล่อยกระสุนพิฆาตออกไปปลิดวิญญาณคนเหล่านี้ ไม่พลาดแม้สักวินาทีเดียว และเมื่อจัดการกับ "นักโทษประหาร" เสร็จแล้ว พวกเขาจะต้องเอาแท่งเงินที่ติดไว้ที่หลังของนักโทษไปให้ต้นสังกัด แล้วแต่ละคนก็จะกลับไปใช้ชีวิตฟู่ฟ่า หรูหรา เล่นยา มั่วผู้หญิง และวนอยู่ใน "ลูป" ชีวิตแบบเดิมซ้ำๆ แบบนี้ไปจนกว่า.....



"การหยุดลูป" จะมาถึง



การหยุดลูป คือการฆ่าตัวเองในอนาคต หรือตัวเองในตอนแก่นั่นเอง ฆ่าตัวเองตอนแก่เสร็จ "Looper" ก็รับทองแท่งจำนวนมากพอให้ใช้ชีวิตไปได้จนถึงตอนที่ตัวเองจะถูกส่งกลับมาฆ่าในอดีต ซึ่งนั่นก็คือ 30 ปีนั่นเอง


เรื่องจะไม่ยุ่งยาก ถ้าอยู่ดีๆ จะไม่มีการหยุดลูปแบบล้างบาง จากคนที่ถูกเรียกว่า "The Rainmaker" หัวหน้าแกงค์อาชญากรสุดโหดจากโลกอนาคต ที่ไม่มีใครเคยเห็นหน้า แต่มีข่าวลือว่าเขาแน่มาก คุมทุกแกงค์ด้วยตัวคนเดียว เขาใส่กรามปลอม เเละในวัยเด็กเขาเห็นแม่แท้ๆ ถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตา ซึ่งนั่นเองคงเป็น "สิ่ง" สำคัญ ที่ทำให้ "The Rainmaker" เดินเข้าสู่ "ลูป" ของการฆ่า และต้องการฆ่าล้างบางทุกคนที่อยู่ในอดีตตอนเกิดเหตุฆาตกรรมแม่ของเขา เพื่อจะหยุด "ลูป" บางอย่าง


และ "Old Joe" หรือก็คือ พระเอกตอนแก่ (แสดงโดย บรูซ วิลลิส) ก็กลับไปในอดีตเพื่อไปหยุด "ลูป" บางอย่างด้วยเช่นกัน



แต่สุดท้ายแล้ว ด้วยกฎของโลกที่ซ้อนกันอยู่ 2 กฎ นั่นคือ



"เมื่อมีสิ่งนี้ สิ่งนั้นจึงเกิด"


และ


"ถ้าไม่มีสิ่งนี้ สิ่งนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นเหมือนกัน"


สุดท้ายแล้ว ใครคนหนึ่งจึงตัดสินใจทำให้บางสิ่งไม่มี เพื่อที่อีกสิ่งหนึ่งจะได้ไม่เกิดขึ้น


และนั่นคือการ "หยุดลูป" ทั้งหมด อย่างแท้จริง.....


และนอกจากการตัดสินใจ "หยุดลูป" ด้วยการกระทำบางอย่างแล้ว


ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น เพื่อเปลี่ยนแปลงบางอย่างอีกด้วย


สิ่งนั้นคือ "คำพูด" ง่ายๆ เพียงประโยคเดียว แต่เป็นเพียงประโยคเดียวที่เปลี่ยนทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นแบบพลิกฟ้า พลิกแผ่นดินเลยทีเดียว มันเป็นประโยคที่ผู้หญิงคนหนึ่งปลอบประโลมลูกชายผู้กราดเกรีี้ยวของเธอให้เย็นลง และมันช่วยหยุดเขาไม่ให้ฉีกร่างคนเป็นชิ้นๆ ได้



เธอพูดว่า "Mami love you….."


ง่ายๆ แต่อ่อนโยน ลึกซึ้งจากแม่ที่รักลูกปานดวงใจ



แล้วทุกสิ่งที่กำลังจะระเบิดก็ดับวูบลง พร้อมน้ำตาที่ไหลรินของเด็กน้อย เสียงสั่นเครือของเขาเรียกหาแต่  "Mami"



ปีศาจจากไปแล้ว


ลูปแห่งการฆ่าจึงหยุดลง










วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

The Skin I Live In: ภายใต้ผิวหนังนั้น ฉันคือใคร?

วันนี้ไปนวดตัวมา 2 ชั่วโมง และตั้งใจไว้ว่า นวดเสร็จ จะต้องรีบไปดูหนังเรื่องนี้ให้จงได้ แม้ว่าตอนจองตั๋วจะมีเรื่องน่าหงุดหงิดนิดหน่อยเกี่ยวกับพนักงานที่แจ้งรายละเอียดสิ่งที่เราถามไปไม่หมด ทำให้ต้องเสียเงินค่าตั๋ว ทั้งที่เรามี Gift Vocher ที่ไม่ต้องเสียเงินสักบาทอยู่ในมือ และมันก็ยังใช้ได้ตามปกติ และใช้ได้กับทุกที่นั่งด้วย แต่นางเพิ่งมาบอกตอนจ่ายตังค์แล้ว ออกบิลแล้ว เปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว shit! (เดี๋ยวจะกลับมาเล่าอีกทีว่าอี SF ที่ CTW มันทำให้หงุดหงิดยังไง)



แต่...ช่างแม่งเหอะ พอเข้าไปดูหนัง หลังจาก 10 นาทีแรกผ่านไป ความหงุดหงิดใจก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง หันไปจดจ่อกับหนังแทน และเริ่มคิดได้ว่านี่อาจเป็นหนังที่ดีที่สุดที่เราจะได้ดูในปีนี้ก็ได้นะเนี่ย (จริงๆ นี่คือหนังหนังของปี 2011).....จึงต้องกลับมาเปิดบล็อกที่ล็อคไว้เป็นการด่วน เผื่อว่าจะมีใครมาเสิร์ชเจอ แล้วกำลังคิดจะไปดูหนังเรื่องนี้อยู่ แต่ยังไม่แน่ใจในความสนุก เค้าจะได้ไม่พลาดหนังเรื่องนี้....



“The Skin I Live In” หนังของเจ้าป้า “Pedro Almodóvar” เรื่องนี้ มันควรค่าแก่การไปดูยังไง (ใครๆ ก็เรียกนางว่า “เจ้าป้า” ด้วยความเคารพ เพื่อนๆ ที่สตาร์พิคก็เรียกนางว่าเจ้าป้า อันที่จริงเราเคยเกือบจะได้ดูรอบสื่อ “Bad Education” ตอนที่มันมาฉายในไทยของเจ้าป้าแล้ว แต่ก็ไม่ได้ดู รู้สึกตอนนั้นจะโดนแย่งโควต้าไป T__T แต่ก็พอจะรู้ทางหนังของนางอยู่บ้าง ป้าแกเป็นเกย์เปิดเผย ก็มีประเด็นเกย์และรักร่วมเพศแทรกมาบ้างในหนังบางเรื่อง เอ๊ะ !!! หรือทุกเรื่อง !!) “The Skin I Live In” เป็นหนังประเภทที่ว่า ก่อนเข้าไป เราคิดว่าเราจะได้ดูหนังแบบหนึ่ง แต่พอดูจนจบ ออกมาจากโรงแล้ว กลายเป็นว่าเราได้ดูหนังอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับที่คิดเอาไว้แต่แรกเลย หนังมันคาดเดาอะไรไม่ได้เลย เจ้าป้าเขียนบทได้ดีมาก แม้หน้าหนังจะแลดูเรื่อยๆ มาเรียงๆ บวกกับชื่อไทยที่น่าเข้าใจผิด ว่าเป็นหนังแนวพิศวาสฆาตกรรมอะไรรึเปล่า เปล๊า !!!



มันคือหนังดราม่า ทริลเลอร์โรคจิตเรื่องหนึ่ง ที่มีเนื้อเรื่องหักไปคนละทางกับตอนเริ่มเรื่องเลย หักแบบตกเก้าอี้ตาย ตอนที่ดูผ่านไปสักครึ่งชั่วโมงโดยประมาณ พอจะเริ่มจับต้นชนปลายถูกบ้างแล้ว ก็ได้แต่คิดว่า “มึงอย่านะๆ มึงจะเล่นงี้เลยเหรอ” ซึ่งเล่าไม่ได้ด้วย ว่าอะไรยังไง ขืนเล่าไป อรรถรสในการรับชมจะหมดลงทันที แต่อย่าไปหวังการหักมุมแบบ “Identity” หรือ “The Others” อะไรงี้นะ ไม่ได้มาแนวนั้น แต่บอกได้คำเดียวว่า “The Skin I Live In” ทำให้เราเข้าใจว่า คำว่า “อำมหิต” นั้น ไม่จำเป็นต้องทำให้ตายก็ได้ และการบังคับให้คนๆ หนึ่ง มีชีวิตอยู่ในชีวิตที่ตัวเองไม่เคยอยากจะได้มา มันโหดร้ายเสียยิ่งกว่าการฆ่ากันเสียอีก แล้วมันก็ยังทำให้เรารู้ว่า โรค Stockholm Syndrome นั้นสามารถเกิดขึ้นกับคนร้ายได้มากพอๆ กับที่จะเกิดกับขึ้นเหยื่อที่ถูกจับตัวไป...



เรื่องย่อๆ เท่าที่สามารถเล่าให้ฟังได้ ก็คือ มีหญิงสาวสวยมากนางหนึ่ง มีชีวิตอยู่ในห้องที่ถูกปิดทางเข้าออกไว้หมด เธอใส่แต่ชุดรัดรูปแนบเนื้อสีเนื้อ และเธอถูกจับตาดูตลอด 24 ชั่วโมงด้วยกล้องวงจรปิดที่คุณภาพดีมาก โดยภาพจะไปปรากฏอยู่ในครัวให้คนรับใช้ที่คอยดูแลเธอได้เห็นความเป็นไปต่างๆ ของเธอภายในห้องนั้น นอกจากมีคนรับใช้คอยเฝ้าดูชีวิตประจำวันของเธอแล้ว ทุกอย่างที่เธอทำ ยังไปปรากฏอยู่บนจอภาพใหญ่บะเริ่ม ที่ตั้งอยู่ในห้องของศัลยแพทย์ชื่อดัง ที่สูญเสียภรรยาผู้เป็นที่รักยิ่ง และงดงามมากไปในกองไฟ  เขาชอบมานั่งดูเธอผ่านทางจอภาพขนาดใหญ่นั้นอย่างหลงไหล หลังเขากลับจากทำงาน และเขามักจะซูมเข้าไปดูใบหน้าของเธออย่างใกล้ชิดเสียด้วย ศัลยแพทย์ผู้นี้ดูเหมือนกำลังทำการทดลองเรื่องปลูกถ่ายยีนจากหมูมาสู่คน เพื่อให้ได้ผิวหนังที่ทนทานต่อไฟไหม้ และโรคมาลาเรีย (ยุงกัดไม่เข้า)  และเค้าก็ไม่ได้ทำการทดลองกับสัตว์ทดลองเสียด้วย....



เริ่มเดาเรื่องได้มั่งยัง แต่ช้าก่อน มันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิดก็ได้ แล้วผู้หญิงในห้องปิดตายนั้นเป็นใคร...แล้วยังมีแม่บ้าน ท่าทางจิตๆ อีกคน ที่ทำหน้าที่ดูแล หญิงสาวผู้นี้ โดยไม่ถามนายของตัวเองสักคำ   ว่าทำไมจึงต้องล็อคห้องของหญิงสาว ปริศนาคนนี้ไว้ตลอดเวลา ปริศนาทั้งหมดนี้ คงต้องเสียเวลาไปดูกันเองแล้วล่ะ ซึ่งรู้สึกว่า ณ ตอนนี้ จะมีฉายอยู่แค่ที่ CTW เจ้าปัญหาที่เดียวเท่านั้น แต่มีรอบให้ดูหลายรอบอยู่



และคืนนี้คงจะใช้สมองขบคิดถึงหนังเรื่องนี้อีกนานเลย และคงจะสร้างตอนจบแบบที่ตัวเองต้องการไว้ดูเองในสมองด้วย เพราะมันยังเหมือนขาดอะไรไปอีกหน่อยนะ หน่อยเดียวเท่านั้น....


หมายเหตุ: entry นี้เขียนไว้ที่อีกบล็อกนึง ณ วันเสาร์ที่ 28 ม.ค. 2555

การ์ตูนที่รักและรักยิ่ง (รวมมิตร)

จริงๆ สมัยเรียนที่เชียงใหม่ เคยทำ List การ์ตูนที่อ่านแปะไว้หน้าประตูห้องที่หอ จะได้จำได้ว่าตัวเองอ่านการ์ตูนเรื่องไรมั่ง เพราะเยอะจัด 30 กว่าเรื่องได้ ก็จะมีตกๆ หล่นๆ ตามได้ไม่ครบ เลยเขียนแปะไว้เลย ถึงเวลาจะได้นึกออก ว่าเรื่องไหนที่ต้องไปตามว่ามันออกรึยัง  เสียดายว่าตอนย้ายกลับบ้านที่กรุงเทพฯ ด้วยความเบลอบวกกับความวุ่น เลยเอามันไปทิ้งไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ และ List นี้ ทำขึ้นมาทดแทน List อันเก่า แต่ต่างจุดประสงค์กันเล็กน้อย เพราะบางเรื่องใน List นี้ จบไปแล้วก็มี เลิกออกไปสักพักแล้วก็มี นานๆ ออกทีก็มี จุดประสงค์ของการทำ List นี้ขึ้นมา ก็เพื่อให้ตัวเองจำได้ว่า การ์ตูนที่รักทั้งหลาย มีเรื่องอะไรบ้าง เรียงตามลำดับความสำคัญ และอิทธิพลที่มีมันต่อเรา จากมากที่สุดไปถึงมาก (ไม่เคยมีคำว่าน้อย สำหรับการ์ตูนทุกเรื่องที่อ่าน ขอกราบงามๆ บรรดาคนวาดและคนแต่งเรื่องของการ์ตูนในลิสต์นี้ทุกท่าน)



1.ป๋าอัจฉริยะ ยานางิซาว่า เรื่องนี้ค้นพบในร้านการ์ตูนตอนเรียนอยู่มหาลัยปี 2 พอดีหอที่พักอยู่ ด้านหน้ามีร้านเช่าหนังสือการ์ตูนมาเช่าพื้นที่อยู่ เลยเดินเข้าออกเป็นเถือกทุกวัน แถมยังไปช่วยเค้าห่อปก เพื่อที่จะจองหนังสือการ์ตูนเล่มโปรดที่ออกมาใหม่ด้วย แบบว่าห่อเองเสร็จปุ๊บ เราก็ยืมปั๊บเลย และป๋าก็เป็น หนึ่งในนั้น


ความพิเศษของป๋า คือ

- ท่าเดินเป็นเส้นตรง และมุมฉาก ไม่มีการเลี้ยว   ไม่ค่อยจะถอย
   สิ่งกีดขวาง ถ้ามีอะไรมาขวาง   ทาง นั่นเป็นเพราะแกไปผิด
   เวลา ทุกอย่างจึง   ไม่เหมือนกับที่แกคำนวณไว้ทุกครั้ง


- ตาตี่ๆ หรี่ๆ มีคนเคยสงสัยว่า ป๋าเคยลืมตารึเปล่า และทัศนวิสัย
   ของป๋าเป็นเช่นไร... เรื่องนี้   ไม่มีคำตอบให้

- ป๋าสอนเศรษฐศาสตร์ ดังนั้นป่าจึงเชื่อว่าของฟรีไม่มีในโลก และป๋าคิดว่าถ้าเราคำนวณ    ดีๆ เราจะได้
   ของถูกในเวลาที่ถูกต้อง ฯลฯ ความเชื่อและวิธีคิดของป๋า ยังมีอีกมากมาย จาระไนไม่หมด และ
   ทุกอย่างล้วนเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้เสมอ ตอนเรียนวิชาการเขียน เคยเอาเรื่องของป๋าไปเขียนส่ง
   อาจารย์ด้วย... มันช่างเป็นการ์ตูนที่ทำให้เราอิ่มเอิบ อิ่มอกอิ่มใจ ทำให้เรามีความสุข และให้คำตอบ
   บางอย่างแก่เราได้ดีจริงๆ รักคนเขียนการ์ตูนเรื่องนี้ที่สุด




2. คิอิจิ เด็กชายวัย 3 – 4 ขวบ ที่เห็นพ่อแม่ถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาย และตัวเองก็พลัดหลงไปอยู่กับคนจรจัดนานถึง 1 ปี แล้ว
 ก็หนีเข้าไปอยู่ในป่าเพียงลำพังในวัย 4 ขวบ ก่อนจะกลับออกมาสู่โลกภายนอก และกลับไปหาครอบครัวในที่สุด ในสภาพที่ไม่เหมือนคิอิจิคนเดิมอีกต่อไป และเมื่อเติบโตขึ้น สิ่งต่างๆ ที่พบเจอมาในวัยเด็ก ก็หล่อหลอมให้คิอิจิมีนิสัยต่อต้านสังคม แต่ก็รักความยุติธรรม และไม่ชอบคนที่รังแกคนอื่นพอๆ กับที่ไม่ชอบคนที่ยอมให้ตัวเองถูกคนอื่นรังแก ทั้งเรื่องมีอยู่ประโยคนึงที่จำขึ้นใจที่สุด และเป็นกำลังใจให้เราเสมอมา มันคือวันที่คิอิจิในวัย 4 ขวบ พูดกับพ่อแม่บนสวรรค์ในคืนที่มืดมิดคืนหนึ่งว่า
“พ่อ แม่...ขอบคุณที่ให้เกิดมา... ไม่ต้องเป็นห่วงนะอยู่คนเดียวได้”






3. ผู้ผนึกมาร เรื่องนี้ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นการ์ตูนต่อสู้ ผสมสัตว์ประหลาดและเวทย์มนตร์คาถาพื้นๆ ทั่วไป แต่พออ่านไปอ่านมาแล้วจะพบว่า นอกจากวิถีชีวิตยามค่ำคืนของโยชิโมริ พระเอกของเรื่อง จะเป็นไปในแบบที่เราใฝ่ฝันถึงแล้ว (ดึกสงัด และไร้ผู้คน) วิธีคิดของตัวละครหลายๆ ตัวในเรื่อง แม้กระทั่งตัวร้าย ยังน่าสนใจมากอีกด้วย ในเล่มล่าสุด บุคคลที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเรื่องราวของผู้ผนึกมารขึ้นมา พูดกับโยชิโมริ ว่า “เธอฉลาดกว่าฉัน...เพราะฉันเชื่อแต่ตัวเอง มันจึงเป็นแบบนี้”



และประโยคที่กระตุกที่สุดคือ ประโยคที่แม่ของโยชิโมริ (อันที่จริงเป็นหุ่นตัวแทนที่ถูกสร้างขึ้นโดยแม่ของโยชิโมริเอง ให้มาช่วยงานสำคัญ แต่แม้จะเป็นแค่หุ่นตัวแทน ทว่าความรู้สึกนึกคิด และความสามารถของหุ่นตัวแทนนี้ เหมือนแม่ของโยชิโมริที่เก่งระดับเทพ 100 เปอร์เซ็นต์) พูดว่า “ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลง ... และไม่มีอะไรที่ไม่มีวันจบสิ้นหรอก”




4. กีฏจารย์กับอาถรรพ์แมลงพิสดาร
การ์ตูนเรื่องนี้ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่บนแผงการ์ตูนตลอดเวลา เดี๋ยวมามั่ง ไม่มามั่ง แต่ถ้ามาเมื่อไหร่ ก็กินใจเมื่อนั้น แนวคิดหลักของมันประหลาดดี การดำเนินเรื่อง และไอเดียของแต่ละตอนก็จินตนาการบรรเจิดมาก และขณะที่ตั้งใจว่าจะเล่าอยู่นี้ เราก็จำรายละเอียดปลีกย่อยของมันไม่ค่อยได้เลย เพราะว่ามันละเอียดมาก บรรเจิดมากเกินกว่าที่สมองน้อยๆ ของเรามันจะจำไหว



ตอนที่ชอบที่สุดคือ ตอนที่แมลงอะไรสักอย่าง ออกฤทธิ์ต่อเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ทำให้เด็กผู้หญิงคนนั้น เหมือนหายตัวไปจากบ้าน และทุกคนในบ้านจะมองไม่เห็นเธอ ในขณะที่ทุกคนคิดว่าเด็กหญิงได้ตายไปแล้ว มีแต่พี่สาวที่คอยเอาตุ๊กตาไปวางไว้ให้ เพราะเชื่อว่าน้องยังอยู่ในบ้าน และเดี๋ยวน้องจะต้องกลับมา จริงๆ เด็กหญิงก็ยังไม่ตาย แต่เป็นเพราะแมลงนั้นสร้างอะไรบางอย่างบังตาทุกคนไว้ เหมือนทำให้เด็กหญิงกับคนในบ้านอยู่กันคนละมิติ... แล้วกีฏจารย์ของเราก็มา สำรวจหาสาเหตุ ทำการรักษา แล้วเด็กหญิงก็ได้กลับมาสู่อ้อมกอดของครอบครัวอีกครั้ง เราชอบฉากที่พี่น้องเจอกัน





5. H2 เรื่องนี้คงไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะมันเป็นของท่านปรมาจารย์ อะดะจิ มิซึรุ ที่ทั้งเรื่องไม่ได้มีอะไรมากเลย แค่เพื่อนรักสองคนที่ชื่อขึ้นต้นด้วยตัว H เหมือนกัน ฮิเดโอะ กับ ฮิโร่ ทั้งสองกำลังเฝ้ารอจังหวะ และเวลาที่จะได้มาแข่งกันเอง ในสนามเบสบอลโคชิเอ็ง... แค่นั้นเองแหละ จุดเริ่มต้นและจุดจบของการ์ตูนเรื่องนี้ แต่ระหว่างทางที่อ่านมัน... H2 ก็ให้อะไรเรามากมาย หนึ่งคือเรื่องมิตรภาพ สองคือเรื่องการไปให้ถึงความฝันของตัวเอง สามคือเรื่องที่ว่า พระเอกไม่จำเป็นต้องได้คู่กับนางเอกเสมอไป...



6.Heaven หลุดโลกเรสเตอรองต์ เรื่องนี้ชอบในความประหลาด และบรรยากาศพิลึกๆ ของมัน มีอย่างที่ไหน ไปเปิดภัตตาคารอาหารฝรั่งเศสอยู่ในสุสานญี่ปุ่นที่โบร๊าน โบราณมาก ทางเข้าก็หายากมาก เพราะมีแต่ป่าดงพงพี และกบเขียด ส่วนเจ้าของร้านและพนักงานแต่ละคนก็ล้วนแต่มีบุคลิกแปลกๆ ที่ทั้งตลก และน่ารำคาญปะปนกัน แต่อ่านแล้วก็มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก กับไอ้บรรยากาศการรวมตัวของเหล่าคนของพิลึกนี่แหละ



7. Death Note มีใครสักคนเคยบอกเราว่า Death Note เป็น One Hit Wonder ของ ทาเคชิ โอบาตะ และ สึกุมิ โอบะ เพราะพอสองคนนี้แยกกันไปทำงาน ก็ยังไม่ได้จะเคยมีอะไรออกมาดีเลิศได้เทียบเท่ากับ Death Note อีกเลย (บาคุแมน ของโอบาตะ มีปมดูถูกเพศหญิงค่อนข้างเยอะ เราเลยเลิกอ่าน)


แต่ Death Note ที่ทั้งคู่ทำไว้ร่วมกัน มันก็ถึงมากๆ ในหลายสิ่ง หนึ่งคือเรื่องที่ทำให้เราฉุกคิดถึงความตาย และความเป็นมนุษย์


ฉากที่ชอบที่สุด คือ ฉากก่อนที่ไลท์จะตาย มันร้องขอชีวิต มันลนลาน และมันไม่เท่อีกต่อไป (สำหรับใครที่ชอบคิดว่าไลท์เท่) คนชั่วมักเป็นเช่นนี้ แม้ไลท์จะคิดว่ามันเป็นคนดีก็ตาม เวลาคนชั่วมีอำนาจอยู่ในมือ มัน มักจะกร่าง และไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน แต่เวลาต้องเผชิญหน้ากับความตาย มันก็มักจะกลายเป็นแค่หมาจนตรอกตัวหนึ่ง


แต่ตอนแอลตาย แอลไม่ร้องขอชีวิตใครทั้งสิ้น ตายก็ตาย เพราะสิ่งที่ควรทำ ก็ได้ทำไปหมดแล้ว และการตายของแอล แอลไม่ติดค้างอะไรกับตัวเอง เพราะสุดท้ายแล้วเค้าก็ได้รู้ว่าตัวเองคิดถูก ที่ว่าไลท์คือคิระ (ถ้าแอลตายแบบคาใจว่าใช่ไลท์หรือไม่ ที่เป็นคิระ คิดว่าดวงวิญญาณของแอลคงไม่สงบสุขเท่าไหร่)



 8. Wonder Boy เราอยากจะเรียกการ์ตูนเรื่องนี้ว่า การ์ตูนอภิมหา ปรัชญา  เพราะอ่านแล้วต้องมานั่งทำความเข้าใจ กับมันอีกพักใหญ่ๆเลย ซึ่งก็เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจ บ้าง จัดเป็นการ์ตูนที่เข้าใจยากและล้ำลึกเรื่อง หนึ่ง... หรือจริงๆ แล้วบางที ทุกคำถามในการ์ตูน เรื่องนี้ อาจจะเป็นคำถามปลายเปิดก็ได้ กล่าวคือ ใครอยากจะตีความอย่างไร ก็สุดแล้วแต่    


ตอนที่เราชอบที่สุด คือ ตอนที่เด็กผู้หญิงขี้เหร่ในหมู่บ้านห่างไกล เชื่อว่าตัวเองเป็นเนื้อคู่กับเด็กหนุ่มรูปงามประจำหมู่บ้าน ซึ่งเรื่องก็จบลงตรงที่ ทั้งคู่เป็นเนื้อคู่กันจริงๆ ช่วยกันทำมาหากินจนแก่เฒ่า และตายไปด้วยกัน


กับอีกตอนที่พูดถึงชีวิตของโจรหนุ่มสมัยโบราณ รายหนึ่ง จำเนื้อเรื่องไม่ค่อยได้แล้ว รู้แต่ว่า มัน เศร้ามาก และมันมีแต่คำถามเต็มไปหมด และแม้โจรหนุ่มนั้นจะฆ่าคนตาย แต่เรากลับมองว่า เค้าไม่ได้เป็นคนไม่ดีแต่อย่างใด เพราะชีวิต  ซับซ้อนกว่านั้น และโจรหนุ่มผู้นั้นก็ยังมีอะไรบางอย่างที่สง่างามมากอีกด้วย



9. อิคิงามิ สาส์นสั่งตาย เป็นการ์ตูนที่อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อแบบ คอมมิวนิสต์ยังไงชอบกล เอาทุกคนมาจับยัดๆ ใส่ๆ ลงไปในลังใบเล็กๆ ใบหนึ่ง ถ้าใครอยาก ออกมานอกลัง นั่นคือมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับ คนๆ นั้น ถ้าอ่านๆ ไปแล้ว จะรู้สึกคุ้นๆ ว่าเหตุ การณ์ทำนองนี้ก็เกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศ ใน หลายๆ สังคมเลยนะ ประเภทที่ว่าถ้าใครแตก แถวจากสิ่งที่อำนาจสูงสุดกำหนดลงมา คนผู้นั้น ก็ถือว่ามีความผิดร้ายแรง สมควรจะต้องถูกจัดการ    


ตอนที่เราชอบที่สุดของอิคิงามิ คือ ตอน “พลีชีพ เพื่อชาติ” เรื่องของเด็กหนุ่มแสนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ทำงานอยู่ในบ้านพักคนชรา และรู้สึกติดใจกับ คุณยายคนหนึ่ง ที่ไร้การตอบสนองกับทุกสิ่งรอบ ตัว เพราะคุณยายกำลังรอคอยคนรักที่ไม่มีวัน กลับมา เพราะเขาตายไปในสนามรบตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว



และแน่นอนสุดท้ายแล้ว เด็กหนุ่มคนนั้นก็ตาย เพราะ”วัคซีนผดุงความรุ่งเรืองแห่งชาติ” แต่ก่อนตายเค้าก็สามารถทำ ให้คุณยายลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง และได้พบเจอกับสิ่งที่คุณยายเฝ้ารอมาตลอดทั้งชีวิต





10. คุโรซากิ บริษัทรับส่งศพไม่จำกัด
เมื่อแรกไม่กล้าอ่านการ์ตูนเรื่องนี้เท่าไหร่ เพราะมันมีภาพวาดที่ค่อนข้างโหดอยู่พอสมควรประเภทสมองไหล ไส้ทะลัก ลูกตากระจุย อะไรประมาณนี้ กระทั่งบัดนี้ก็ยังมีอยู่ตอนนึงที่เรายังไม่กล้ากลับไปอ่านมันอยู่ดี มันอยู่ในเล่มแรกๆ ไม่ 1ก็  2 นี่แหละ และมันมีชื่อตอนอย่างไม่เป็นทางการว่า “อยากเกิดเป็นนกจังเลย” (คุโรชากิเป็นการ์ตูนที่มักจะจงใจตั้งชื่อตอนแต่ละตอนให้ยาว และไม่เข้ากับเนื้อเรื่อง คนอ่านเลยมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการไว้เรียกกันเอง เพราะจำชื่อตอนอย่างเป็นทางการกันไม่ค่อยได้)        


แต่หลังจากที่เสพย์ติดการ์ตูนเรื่องนี้ไปในที่สุด เราก็พบว่า ภายใต้หน้ากากที่น่าสยดสยองนั้น มีเรื่องราวดีๆ ซ่อนอยู่มากมาย  และมันทำให้ประโยคภาษาอังกฤษประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาอยู่ในหัวสมองของเราทุกครั้งที่อ่านการ์ตูนเรื่องนี้


"Everyone has their own story" ทุกคนล้วนมีเรื่องราวของตัวเอง....เพราะตัวละครแต่ละตัวในคุโรซากิ ล้วนมีเงื่อนปมผูกอยู่ในชีวิตกันทุกคน ภายใต้คาแรคเตอร์ที่บ้าๆ บอๆ เพี้ยนๆ และดูไม่เอาอ่าวนั้น จริงๆ แล้วทุกคนในบริษัทรับส่งศพนี้    ผ่านเรื่องราวโหดร้ายกันมาแล้วทุกคน  ....


“หนุ่มหุ่นมือ” คือ ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว จากเหตุการณ์ฆ่าตัวตายยกครัว ที่พ่อของเค้า เป็นผู้กระทำ และหุ่นมือที่เค้าใส่ติดมือไว้ตลอด 24 ชั่วโมง ก็คือหุ่นมือของน้องสาวตัวน้อย ผู้ล่วงลับ จากเหตุการณ์ฆ่าตัวตายครั้งนั้นนั่นเอง เค้าใส่หุ่นมือนั้นตลอดและทำราวกับว่ามัน มีชีวิตของมันเอง เพราะมันถูกวิญญาณอวกาศชั้นสูงสิงอยู่   และเป็นเอกเทศจากตัวเค้า   ไม่มีใครรู้ว่ามันจริงหรือไม่ ขนาดเพื่อนๆ ในเรื่องยังไม่ค่อยเชื่อ แต่ถ้าวิเคราะห์จากปูมหลัง มันคงเป็นอาการทางจิตอย่างหนึ่ง



ส่วน “สาวน้อยเอมบาล์มมิ่ง” (คนทำความสะอาด และตกแต่งศพทุกสภาพ) ก็เห็นศพแม่ของตัวเองที่กระโดดให้รถไฟทับตาย ในระยะประชิด ทั้งยังถูกใช้ให้ถือหัวแม่ของตัวเองเอาไว้อีกด้วย....ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือ ล้วนผ่านเรื่องราวทำนองนี้มาเหมือนๆ กัน แต่เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าพวกเค้าผ่านความเจ็บปวดเหล่านั้นมาได้อย่างไร เพราะการ์ตูนไม่ยอมบอก     




11. Skyhigh ฟ้าเบื้องบนนั่นมีใครจ้องมองดูเราอยู่ เวลาที่เราทำชั่ว เวลาที่เราถูกใครบางคนฆ่าตาย....”อิซึโกะ” คนเฝ้าประตูแห่งความเคียดแค้น จะออกมาบอกกับวิญญาณที่ถูกฆ่าตายทุกดวงว่า “คุณมีทางเลือกอยู่ 3 ข้อ คือ หนึ่ง ไปสวรรค์และรอคอยการเกิดใหม่... สอง ไม่ยอมรับความตาย และกลับไปเป็นวิญญาณล่องลอยอยู่ในโลกมนุษย์... สาม ฆ่าจองเวรคนที่ฆ่าคุณ”


และ 99% ของดวงวิญญาณที่ไปที่นั่น เลือกข้อ 3


มันเป็นการ์ตูนที่ทำให้เราได้เห็นด้านมืด ด้านชั่วร้าย ด้านอุบาทว์ของมนุษย์อย่างสุดๆ ชีวิตเส็งเคร็งกันได้สุดๆ...ความสวยงามไม่เคยมีอยู่จริง...เพราะมนุษย์ล้วนทุกปลุกด้วยความมืดมิดได้เหมือนกันหมดทั้งสิ้น



12. ผีซ่ากับฮานาดะ ถ้าเรื่องข้างบนเป็นความมืดดำ เรื่องนี้ก็เป็นความขาวสะอาด และบริสุทธิ์....กับเด็กซ่า หัวโจกที่วันๆ เอาแต่ก่อเรื่อง และแกล้งคนอื่น แต่เมื่อเค้าฟื้นจากความตาย และมองเห็นผีแถวๆ บ้าน เค้าก็กลายเป็น Ghost Whisperer ภาคเด็กเกรียน ที่ต้องคอยไปช่วยเหลือบรรดาผีๆ ทั้งหลาย ให้ได้บรรลุความปรารถนาอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะไปสู่สุคติ


แล้วเจ้าเด็กซ่าฮานาดะก็ค่อยๆ เรียนรู้การช่วยคนอื่น ความดีงาม และความรัก เรื่องราวที่เกิดขึ้นในการ์ตูนสอนฮานาดะไปพร้อมๆ กับสอนคนอ่าน


และเราคงไม่รู้จักการ์ตูนเรื่องนี้ ถ้าพี่ที่ร้านเน็ตแถวบ้านไม่แนะนำให้อ่าน และร้านเช่าการ์ตูนแถวบ้านไม่ดันมีเล่มที่เยินที่สุดรอให้เราไปเช่ามาอ่านพอดี....


รักการ์ตูนเรื่องนี้จริงๆ มันจบที่เล่ม 5 และเราร้องไห้เพราะคิดถึงมัน....อยากเข้าไปมีชีวิตอยู่ในการ์ตูนเรื่องนี้  เพราะบรรยากาศชนบท บ้านๆ ในการ์ตูนเรื่องนี้มันอบอุ่นและเรียบง่ายที่สุดเท่าที่เคยอ่านมาเลยแหละ




หมายเหตุ: entry นี้ สำเนามาจากอีกบล็อกนึง ที่เป็นส่วนตัวกว่าบล็อกนี้ แต่มันเป็นเรื่องของการ์ตูนที่รัก ก็เลยอยากจะเผื่อแผ่มายังคนอื่นๆ ด้วย

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Tomboy :: Unisex ส่วนเกิน และ ส่วนต่อเติม


เมื่อไหร่กันนะที่ลอเรตื่นขึ้นมาตอนเช้า แล้วรู้ว่า เธอไม่อยากใส่กระโปรงอีกต่อไปแล้ว เธออยากตัดผมสั้นกุด อยากเดินห่อไหล่ และอยากไปออกเล่นเตะบอลกับพวกเด็กผู้ชาย มากกว่าการนั่งเล่นตุ๊กตาอยู่กับน้องสาวที่บ้าน



การที่คนๆ หนึ่งตื่นขึ้นมา แล้วรู้สึกเหมือนกับว่า กำลังอยู่ในร่างของคนอื่น นอกจากมันจะรู้สึกผิดที่ผิดทางแล้ว มันยังเป็นความรู้สึกเหมือนถูกขังอยู่กลายๆ ด้วย ยิ่งถ้าเจ้าของร่างนั้น ไม่ได้เป็นเพศที่เราอยากเป็นด้วยแล้ว มันยิ่งกว่าโดนใยแมงมุมรัดตัวเสียอีก



“ลอเร” เด็กหญิงรูปร่างผอมบาง ผมสั้นกุด อายุ 10 ขวบ ที่เพิ่งย้ายมาอยู่บ้านใหม่ ยังไม่มีเพื่อน ยังแปลกที่ และโรงเรียนก็ยังปิดเทอมอยู่ “ลอเร” จึงยังไม่มีเพื่อนเล่น แต่โชคดีที่บ้านที่เธอเพิ่งย้ายมาอยู่นั้น เป็นอพาร์ตเมนท์ที่มีหมู่ตึกเรียงรายอยู่หลายตึก และในหมู่ตึกเหล่านั้น เด็กๆ ของแต่ละบ้าน รวมตัวกันเล่นสนุกเพื่อให้ช่วงเวลาปิดเทอมฤดูร้อนผ่านไปอย่างน่าจดจำ


เมื่อจัดของเสร็จ และ “ลอเร” มองลงมาจากระเบียงบ้านของตัวเอง เห็นเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นสนุกกันอยู่ จึงเดินลงมาข้างล่างเพื่อเข้าร่วมกลุ่มด้วย แต่กลับเจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อยู่ในตึกหลังถัดไป และ ด้วยเหตุผลเบื้องลึกบางอย่างภายในใจ “ลอเร” แนะนำตัวเองว่าชื่อ “มิเคล” ซึ่งมันเป็นชื่อของ “เด็กผู้ชาย” !



และหลังจากนั้นมา เกือบตตลอดทั้งฤดูร้อน “ลอเร” ก็เข้ารวมกลุ่มเล่นกับเด็กแถวบ้าน ในคราบของเด็กผู้ชายที่ชื่อ “มิเคล”....เธอเตะบอลเก่ง ว่ายน้ำเก่ง แรงเยอะ สู้ชนะเด็กผู้ชาย และมีสาวมาหลงรัก....แต่เธอก็ยังมีข้อจำกัดบางอย่างที่ต้องข้ามผ่านไปให้ได้ด้วย หากต้องการจะเป็นเด็กผู้ชายอย่างแท้จริง



ในคราบของ “มิเคล” ....ข้อจำกัดบางอย่างที่ “ลอเร” ต้องข้ามผ่านไปให้ได้ ก็คือ “ข้อจำกัดของการเป็นผู้หญิง” เธอเฝ้าสังเกตดูว่าพวกเด็กผู้ชายทำตัวอย่างไร แล้วเธอก็กลับไปซ้อมท่าทางเหล่านั้นในห้องน้ำที่บ้าน และแสดงท่าทางเหล่านั้นในวันรุ่งขึ้น



และหนึ่งในข้อจำกัดสำคัญที่ “ลอเร” พยายามจะข้ามผ่าน คือการ “ถอดเสื้อ” วิ่งโทงๆ อยู่กลางสนามฟุตบอลกับพวกเด็กผู้ชาย....ในวัยสิบขวบที่หน้าอกยังไม่ขึ้น “ลอเร” สามารถถอดเสื้อออกโชว์แผงอกที่แบนราบ และทำตัวเป็นเด็กผู้ชายได้อย่างแนบเนียน.....และนั่นคือข้อจำกัดสำคัญของการเกิดเป็นผู้หญิง….เพราะเมื่อผู้หญิงโตขึ้น การเปลี่ยนแปลงของสรีระบางอย่าง ทำให้พวกเธอไม่สามารถจะถอดเสื้อในที่สาธารณะได้อีก และหากพวกเธอทำแบบนั้น นั่นคือการทำ “อนาจาร” และมันอาจนำพาอันตรายอีกหลายอย่างมาสู่ตัวเธอ



แล้วทำไมผู้ชายจึงถอดเสื้อในที่สาธารณะได้....เพราะพวกเขาไม่มีก้อนไขมันนูนๆ ขึ้นอยู่กลางหน้าอกใช่มั้ย หน้าอกแบนราบของพวกเขาคงไม่มีใครอยากมอง หรืออยากสัมผัสเท่าหน้าอกของผู้หญิง....ว่าแต่ว่า ธรรมชาติหรือมนุษย์กันแน่ที่เป็นผู้กำหนด ว่าหน้าอกผู้หญิงน่ามอง และห้ามโชว์ในที่สาธารณะ ?.....



และเมื่ออยากจะเป็นเด็กผู้ชายให้ได้โดยสมบูรณ์ ก็ต้องมีการข้ามผ่านครั้งที่สองเกิดขึ้น และการข้ามผ่านครั้งนี้ “ลอเร” ต้องอาศัยตัวช่วยเล็กน้อย เพื่อทำให้เธอดูเป็นเด็กผู้ชายจริงๆ และเธอใช้ดินน้ำมัน !.....แต่ดินน้ำมันก้อนนั้นไม่ได้ช่วยให้เธอยืนฉี่ได้เหมือนเด็กผู้ชายจริงๆ และนั่นก็เป็นอีกปัญหาที่ “ลอเร” ไม่รู้จะจัดการอย่างไร



ฤดูร้อนนั้นจบลงด้วยการเริ่มต้นแนะนำตัวเองใหม่อีกครั้งของ “ลอเร”....คราวนี้เธอต้องบอกชื่อจริงของตัวเอง และต้องให้เพื่อนใหม่สร้างการจดจำที่มีต่อเธออีกครั้ง ในฐานะของเด็กผู้หญิง ไม่ใช่เด็กผู้ชาย…. แต่แม้ว่าจะโดนแม่บังคับแบบเบาๆ ให้ใส่ชุดกระโปรง แล้วไปแนะนำตัวกับเพื่อนๆ ใหม่อีกรอบ แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ว่า “ลอเร” จะยังคงสร้างการจดจำตัวตนของตัวเองว่าเป็น “เด็กชาย” อยู่ต่อไป และมันจะเป็นอย่างไร เมื่อเธอไปโรงเรียนในวันเปิดเทอม และต้องพบหน้ากับพวกเด็กผู้ชายที่เล่นด้วยกันตลอดทั้งฤดูร้อน ที่เคยเชื่อไปแล้วสนิทใจว่าเธอเป็นเด็กผู้ชายเหมือนพวกเขา จนกระทั่งความจริงถูกเปิดเผย และพวกเขาทำบางสิ่งให้ “ลอเร” อับอาย....เด็กผู้ชายเหล่านั้นจะยอมรับตัวตนของ “ลอเร” ในฐานะ “ผู้หญิง” หรือ “ผู้ชาย” หรือ “ผู้หญิงที่อยากเป็นผู้ชาย” หรือ “ผู้ชายที่อยู่ในร่างผู้หญิง”



หนังไม่ได้ให้เราดูชีวิตในกาลต่อมาของ “ลอเร” แต่ก็มีข้อสงสัยว่า หากเมื่อ “ลอเร” โตขึ้นแล้ว เธอก็ยังยืนยันมั่นคงว่าชอบที่จะเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แล้วถึงตอนนั้น “ลอเร” จะทำอย่างไรกับ “ส่วนเกิน” ในร่างกายของตัวเอง และจะทำอย่างไรกับ "ส่วนต่อเติม" ที่คงจะหวังพึ่งพาดินน้ำมันเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว


และทำให้สงสัยว่าอะไรกันแน่คือ “ส่วนเกิน” และ “ส่วนต่อเติม” ในชีวิตมนุษย์.....สถานภาพทางเพศที่ธรรมชาติสร้างให้นั้น จริงๆ แล้วขอบเขตของมันมีอยู่แค่ไหนกันแน่....และเราเติมอะไรลงไปเองอีกบ้าง หลังจากที่เรามีวิวัฒนาการมากขึ้น และมีสิ่งที่เราเรียกว่า “ศีลธรรม” มากขึ้น....


และมันจะเกิดอะไรขึ้น หากเราสามารถเดินออกจากบ้าน และบอกคนอื่นว่าเราเป็นผู้หญิง หรือผู้ชายก็ได้ ตามที่จิตใจของเราต้องการ ไม่ใช่ตามที่ส่วนต่อเติมของร่างกายเรา บอกให้เราเป็น....

วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

นานะ ภาค 2 : กับมายาคติในสังคมญี่ปุ่น



สร้างมาจนถึงภาค 2 แล้วกับหนังที่ทำมาจากการ์ตูนผู้หญิงเรื่องนี้ ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภาค 2 เป็นเรื่องการตั้งท้องของนานะหวาน และการได้เดบิวท์งานครั้งแรกของวง Black Stone ที่มี นานะพังค์ เป็นนักร้องนำ นานะภาคนี้เปลี่ยนคนแสดงไปหลายคน โดยเฉพาะบทที่สำคัญต่อเรื่องที่สุดอย่าง บท โคมัตสึ นานะ ที่แต่เดิมแสดงโดย มิยาซากิ อาโออิ เปลี่ยนมาเป็น อิชิคาว่า ยูอิ ที่หลังจากดูหนังจนจบแล้ว รู้สึกว่าแม่นางยูอิ ช่างเหมาะกับการเป็นนานะหวานเสียเหลือเกิน

หนึ่ง-เพราะเธอตัวเล็กๆ น่ารักตามพิมพ์นิยมของผู้ชายญี่ปุ่น ทำให้เวลาเข้าคู่กับตัวละครโนบุที่ในภาคนี้ต้องตกลงเป็นแฟนกัน ฝ่ายชายค่อยดูสมกับเป็นแฟนเธอขึ้นมาหน่อย เพราะนานะหวานคนเก่าตัวสูงปรี๊ด และออกแนวล่ำบึกยังไงชอบกล พ่อโนบุเลยดูตัวเล็กไปในบัดดล

สอง-เพราะเธอสามารถแสดงความเป็นผู้หญิงที่ 'ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้' ของโคมัตสึ นานะ ออกมาได้อย่างดีมากๆ ในขณะที่มิยาซากิ ทำได้แค่แสดงเป็นเด็กผู้หญิงที่เอาแต่ใจตัวเองและขี้วีนเท่านั้น น่าเสียดายถ้าเธอมาตั้งแต่ภาคแรก คนดูจะได้ไม่ติดภาพรอยยิ้มอันสดใส และท่าทางการทำปากที่น่ารักน่าหยิกของมิยาซากิ แต่จะติดภาพปากบางๆ เหมือนกลีบกุหลาบแรกแย้มของเธอแทน

สำหรับคนที่เป็นคอการ์ตูนญี่ปุ่นและซีรีส์ญี่ปุ่น คงรู้กันดีว่าผู้หญิงในการ์ตูนและซีรีส์เหล่านั้น มักจะมีลักษณะที่เรียกกันว่า 'ฟูมฟาย' ซึ่งก็คือการแสดงอารมณ์อย่างฟุ่มเฟือยนั่นเอง เพราะไม่ว่าเธอจะโกรธ เศร้า ดีใจ ตื่นเต้น หรืออะไรก็ตาม เธอๆ ในนั้นจะไม่เก็บอารมณ์กันเลยแม้แต่น้อย และมันจะออกมาเป็นเช่นที่นานะหวานในภาค 2 นี้เป็นทุกประการ

และถ้าหากผู้หญิงทั่วโลกปรุงแต่งตัวเองให้สวยใสเพื่อผู้ชายแล้วละก็ ขอบอกว่าผู้หญิงในการ์ตูนและซีรีส์ญี่ปุ่นเป็นยิ่งกว่านั้นเสียอีก เพราะเธอจะฝากชีวิตทั้งชีวิตของเธอไว้ที่ผู้ชายเลยทีเดียว และพร้อมจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นอย่างที่ชายคนนั้นชอบ เช่น พร้อมที่จะแหกขี้ตาตื่นมาแต่เช้ามืดเพื่อมาทำข้าวกล่องสื่อรักไปให้ฝ่ายชายกินตอนพักเที่ยง และจะทำอย่างนี้ไม่ว่าจะอยู่ในวัยมัธยมหรือว่าล่วงเลยเข้าสู่วัยทำงานแล้วก็ตาม

มีอยู่ฉากหนึ่งที่ทาคุมิ หัวหน้าวง Trapnest ที่นานะหวานหลงรักและเผลอไปมีสัมพันธ์ด้วยจนตั้งท้อง พูดกับเธอว่า "เธอนี่ช่วยเหลือตัวเองๆ ไม่ได้จริงๆ เลยนะ อายุตั้ง 20 แล้วนะ ทำงานทำการก็ไม่มั่นคง พอเหงาเข้าหน่อยก็ตกเป็นของผู้ชายได้ง่ายๆ จนตั้งท้องขึ้นมา ถ้าพ่อแม่รู้คงเสียใจแย่" แล้วเขาก็ทำท่าเอ็นดูเธอดั่งเธอเป็นลูกกวางตัวน้อยๆ ที่ยอมศิโรราบให้กับนายพราน และยอมให้เขาตัดเอาเขาของมันไปประดับฝาผนังที่บ้านได้ แล้วต่อมานานะก็พร่ำบอกกับตัวเองว่า ทาคุมินั้นยอมรับในความเป็นคนไม่เอาไหนของเธอได้ และเข้าใจในความเป็นคนว่างเปล่าของเธอดี....

ที่จริงแล้วไม่รู้ว่านานะได้ฉุกคิดบ้างหรือเปล่าว่าที่เธอเห็นว่าทาคุมิเข้าอกเข้าใจเธอนั้น มันเป็นเพราะอะไรกันแน่ มันเป็นเพราะผู้หญิงหงิมๆ ติ๋มๆ ไม่ค่อยมีปากมีเสียงอย่างเธอ ดูแล้วมีแนวโน้มที่จะยอมตกเป็นเบี้ยล่างสามีแน่ๆ หรือเปล่า ทาคุมิคงคิดมาดีแล้วว่าถ้าเอายัยคนนี้เป็นเมีย เขาคงครอบงำเธอได้ง่ายๆ ยิ่งทาคุมิเป็นคนเจ้าชู้ด้วยแล้ว เมีย เซื่องๆ อย่างนานะ ย่อมไม่กล้าหือเขาแน่นอน หากเธอจับได้ว่าเขามีกิ๊ก.....
หากจะบอกว่าภาพลักษณ์และตัวตนของ โคมัตสึ นานะ เป็นมายาคติที่ผู้ชายญี่ปุ่น (และอาจจะอีกหลายๆ ประเทศ) โดยเฉพาะผู้ชายช่วงอายุระหว่าง 30-50 ปี อยากให้ผู้หญิงเป็น ก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะสำหรับชายชาวญี่ปุ่นแล้ว เมียคือคนที่มีหน้าที่ทำกับข้าวอร่อยๆ ให้เขากิน (การ์ตูนบางเรื่องถึงกับเขียนเรื่องทำนองว่า ผู้ชายคนหนึ่งเลือกแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง เพียงเพราะเธอทำกับข้าวเก่ง โดยไม่สนใจตัวตนด้านอื่นๆ ของเธอเลยแม้แต่น้อย) คอยอยู่แต่ที่บ้าน ทำงานบ้านไป ไม่ต้องออกไปหางานทำนอกบ้านหรอก เพราะชายชาวญี่ปุ่นรักที่จะทำงานหาเลี้ยงเมียมากกว่าชายชาติอื่นๆ อยู่แล้ว

เพราะผู้ชายญี่ปุ่นรุ่นเก่าไม่ค่อยยอมรับในความเก่งกาจของผู้หญิงเท่าไรนัก หาไม่แล้วนานะหวานรวมทั้งผู้หญิงทำงานในญี่ปุ่นส่วนใหญ่คงได้ทำงานอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน มากกว่าแค่งานชงน้ำชาและถ่ายเอกสาร แล้วจะเรียนสูงๆ ไปทำไมกันละนี่ (หากอยากรู้เรื่องจริงของสังคมผู้หญิงทำงานในญี่ปุ่น แนะนำให้ไปหา 'ตะลึงงันและสั่นไหว' มาอ่าน อันเป็นเรื่องของสาวฝรั่งที่ไปทำงานกับบริษัทญี่ปุ่น และก็ได้อึ้งกับระบบความคิดที่ว่า ผู้หญิงหากจะขึ้นเป็นใหญ่นั้นอย่าได้หวัง ถ่ายเอกสารต่อไปเถอะเธอ !!) และหลังจากนั้นเธอก็ต้องมีลูกน่ารักๆ ให้เขาเชยชม แค่นี้แหละชีวิต..... เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า ผู้หญิงตอนเด็กๆ ก็เป็นสมบัติของพ่อแม่ พอแต่งงานไปก็เป็นสมบัติของสามี และพอแก่ตัวก็เป็นสมบัติของลูกๆ....ชะตาชีวิตของโคมัตสึ นานะ ที่เราไม่ได้เห็นหลังจากหนังปิดม่านไปแล้ว ดูท่าจะเป็นเช่นคำกล่าวนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

และในขณะเดียวกันภาพลักษณ์ของโอซากิ นานะ หรือนานะพังค์ ที่ยอมเลิกกับคนรักเพื่อทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง ก็เป็นเหมือนสิ่งที่ผู้หญิงญี่ปุ่นยุคใหม่ต้องการจะเป็นนั่นเอง คือการทำตัวให้เข้มแข็งก็ได้และอ่อนแอก็ได้หากถึงคราวต้องทำ ไม่ได้เป็ันเฟมินิสท์จ๋าแบบยุคก่อนๆ การเป็นเฟมินิสท์ยุคใหม่แบบที่โอซากิ นานะเป็น ก็คือการกล้าจะทำในสิ่งที่ตัวเองรัก (เคยอ่านการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่ลูกชายบ่นถึงแม่ของตัว ว่าเอาแต่ใจอยากย้ายบ้านก็ย้าย แถมยังออกไปทำงานที่ตัวเองรักอีกต่างหาก คล้ายกับว่าสำหรับผู้หญิงญี่ปุ่นในอุดมคติแล้ว การทำสิ่งที่ตัวเองรัก ถือเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ เพราะเธอควรต้องถือครอบครัวเป็นสำคัญ) กล้าที่จะรักใครสักคน โดยไม่โลเลไปกับคำอ่อนหวานของผู้ชายง่ายๆ และเมื่อถึงคราวต้องเป็นนางร้ายเธอก็ทำได้ไม่ต้องคิดมาก....

มีอยู่ฉากหนึ่งที่นานะหวานคิดว่านานะพังค์กับโนบุนั้นอยากให้เธอเป็นสาวใสซื่อ ไร้เดียงสา แต่จริงๆ แล้วนั้น ทั้งนานะ พังค์ และโนบุอยากให้นานะหวานเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งต่างหาก เพราะเมื่อนานะพังค์รู้ว่าฮาจิของตัวเองตัดสินใจจะแต่งงานกับทาคุมิจริงๆ ก็เลยเตือนว่าอย่าไปหงอทาคุมิเชียวนะ ถ้าเขานอกใจเธอให้ตั๊นหน้าไปสองสามทีเลยนะ....นานะหวานก็ได้แต่ยิ้มรับ แต่แน่นอนถ้าเหตุการณ์ดังว่าเกิดขึ้นจริง เธอก็คงไม่ทำอย่างที่นานะพังค์แนะนำหรอก แต่รับประกันได้เลยว่านานะพังค์จะทำอย่างที่ตัวเองแนะนำฮาจิไปแน่นอน หากเร็นนอกใจเธอ

และนี่คงเป็นการคัดง้างกันระหว่างโลกสองใบของผู้หญิงญี่ปุ่นกระมัง ว่าการมีชีวิตแบบใดจะมีความสุขอันยั่งยืนมากกว่ากัน....โลกแห่งการทำตัวเป็นเกอิชาของสามี หรือโลกแห่งการทำตามใจตัวเอง

ถ้าตราบใดที่ยังมีดาราสาวผู้คิดว่าการโชว์เรือนร่างและของสงวนของตัวเองเป็นเรื่องสมควรทำ โดยไม่สนใจว่าผู้คนจะมองและปฏิบัติกับเธอราวกับเธอเป็นแค่วัตถุที่เขาวางไว้ให้ถ่ายรูปเท่านั้น ตราบนั้นผู้หญิงก็ยังคงจะต้องยอมเป็นสมบัติของใครๆ ไปอีกนานแสนนาน


จากคอลัมน์ สนามวิจารณ์ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2550



วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

In the Way I am: บนเส้นทางชีวิตที่เลือกเดิน

หากเปรียบชีวิตเป็นเหมือนถนนสายหนึ่ง มันก็คงมีหลากหลายเส้นทางที่จะให้เราเลือกเดินไป ทั้งทางตรง ทางอ้อม ทางด่วน ทางลัด ทางกำลังปรับปรุง ทางตัน ฯ ส่วนใครจะเลือกเดินไปตามเส้นทางไหนก็คงสุดแท้แต่ว่าเขาคนนั้นมีสิ่งใดเป็นจุดมุ่งหมายในชีวิตนั่นเอง....




คนบางคนนั้นชีวิตอาจไม่ค่อยมีทางให้เลือกมากมายนัก ด้วยเป็นเพราะว่าต้นทุนของชีวิตที่สวรรค์ให้มามันน้อยนิดเหลือเกิน อย่างเด็กที่ไม่มีเงินเรียนสูงๆ ชีวิตเขาจะเป็นอะไรได้มากไปกว่าคนใช้แรงงานเหรอ ? ชีวิตทางเลือก จะมีอะไรให้เลือกมั๊ย ! คนพวกนี้มีสิทธิ์จะเลือกอะไรให้กับชีวิตตัวเองบ้างมั๊ย ? บางทีเราเลยพบว่าเด็กรวยๆ คนรวยๆ มีทางเลือกให้กับชีวิตตัวเองได้มากกว่าคนจนๆ เดินดินกินข้าวแกงอย่างมากมายมหาศาล....ไม่อยากเรียนเหรอ ? เรียนไม่จบเหรอ ? ... เดี๋ยวพ่อแม่เปิดร้านอะไรสักอย่างให้แล้วกัน จะเอาร้านถ่ายรูปวัยรุ่นดีมั๊ย หรือจะเอาร้านกาแฟไฮเทคดี สปาก็ได้นะ ไม่อยากอยู่เมืองไทยเหรอ หรือทำเรื่องฉาวโฉ่เอาไว้ ก็ไปอยู่เมืองนอกล่ะกัน !! อยากจะพังค์แค่ไหน อยากจะหลุดโลกแค่ไหน หรืออยากจะแนวแค่ไหน ก็ทำได้อยู่แล้ว เพราะมีตังค์ แต่บางทีก็ทำได้แค่เปลือกๆ น่ะ




แต่หลายๆ ครั้ง เราก็กลับพบว่าอีกเช่นเดียวกันว่า คนจนๆ หรือผู้ด้อยโอกาสในสังคมนั้น ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยมีทางเลือกใดๆ ให้กับชีวิตของตัวเองมากนัก แต่ก็มีบางคนจากคนกลุ่มนี้ที่สามารถพลิกชีวิตให้กับตัวเองได้ อย่างเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้...




โซอิชิโร่ ฮอนด้า เกิดในครอบครัวช่างตีเหล็ก ที่ฐานะไม่ได้ร่ำรวยอะไร สมบัติของพ่อแม่ที่จะมอบให้ลูกๆ ก็คือวิชาช่างเหล็ก และกิจการตีเหล็กที่รอให้เขาเข้ามารับช่วงต่อเมื่อโตขึ้น แต่เด็กที่ช่างคิด และกระตือรือร้นอย่างโซอิชิโร่ ที่แม้จะดูซุกซนไปบ้างในสายตาผู้ใหญ่ แต่เขาก็มีความชอบ ความสนใจ และหลงใหลในเรื่องเครื่องยนต์ และรถยนต์เป็นอันมาก ถ้าเห็นรถยนต์มาจอดในหมู่บ้านเมื่อไหร่ เขาจะต้องขอเข้าไปดูใกล้ๆ ทันที บางทีเจอเจ้าของรถใจดีก็ได้สัมผัสตัวถังรถ หรือได้ขึ้นไปนั่งบนรถด้วย โซอิชิโร่หลงใหลกระทั่งกลิ่นของน้ำมันรถด้วยซ้ำ และความหลงใหลนี้เอง ทำให้โซอิชิโร่มีความฝันว่าสักวัน เขาจะต้องสร้างรถยนต์ขึ้นมาด้วยมือของตัวเองให้ได้ แต่...ครอบครัวฮอนด้าไม่ได้เป็นครอบครัวที่ร่ำรวยอะไร ไม่มีเงินส่งโซอิชิโร่เรียนสูงๆ แน่นอน แต่ในเมื่อถ้าอยากทำรถยนต์ ก็ต้องเรียนรู้เรื่องเครื่องยนต์ แล้วโซอิชิโร่จะทำยังถึงจะเข้าใกล้ความฝันของตัวเองได้ล่ะ




เมื่อเรียนจนจบชั้นประถมปลาย โซอิชิโร่แสนลำบากใจที่จะบอกพ่อเหลือเกินว่า เขาอยากจะมีอู่ซ่อมรถเป็นของตัวเอง ยิ่งพอพ่อถามว่าอยากจะเรียนต่อชั้นมัธยมมั๊ย แล้วเขาอ้ำอึ้ง พ่อจึงบอกเขาด้วยความปรานีว่า ไม่ต้องมาสืบทอดกิจการตีเหล็กของพ่อต่อไปก็ได้ ถ้าอยากเรียนต่อก็ไปเรียนได้เลย เมื่อโซอิชิโร่ปลดภาระทางใจเรื่องที่ต้องสืบทอดกิจการของบรรพบรุษลงไปได้แล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือการหาหนทางที่จะไปให้ถึงซึ่งความฝันของตัวเอง ซึ่งโซอิชิโร่พบทางลัดที่จะไปให้ถึงความฝันนั้น โดยที่ไม่ต้องเรียนมหาวิทยาลัย เมื่อเขาเจอประกาศรับสมัครเด็กฝึกงานของบริษัทอาร์ต ซึ่งเป็นอู่ซ่อมรถที่โตเกียว จึงรีบส่งจดหมายไปสมัครทันที....และหลังจากรอแล้วรอเล่า ก็มีจดหมายตอบกลับมาว่ารับโซอิชิโร่เข้าทำงานที่บริษัท....โซอิชิโร่นั้นแม้จะดีใจมาก แต่ก็ยังกังวลว่าพ่อจะไม่เห็นด้วย และไม่ยอมให้เขาไปโตเกียว แต่ปรากฏว่าพอเขาไปบอก พ่อกลับบอกเขาว่าเป็นลูกผู้ชาย ต้องเลือกทางเดินชีวิตของตนด้วยตัวเอง แล้วก็ลงทุนปิดร้านพาโซอิชิโร่ไปฝากฝังกับเจ้าของบริษัทอาร์ตด้วยตัวเอง พอมาได้ถึงขนาดนี้โซอิชิโร่ก็รู้สึกว่าตัวเองได้เข้าใกล้ความฝันของตัวเองมากขึ้นมาอีกก้าวนึงแล้ว แต่โซอิชิโร่คงไม่รู้หรอกว่า ต่อไปความฝันของเขาจะไปได้ไกลกว่าที่เขาเคยหวังเอาไว้ตอนแรกเสียอีก




แต่สิ่งที่รอโซอิชิโร่อยู่ที่บริษัทอาร์ตนั้น กลับกลายเป็นต้องช่วยเลี้ยงเด็กบ้าง ช่วยนายผู้หญิงทำงานบ้านบ้าง รวมทั้งต้องเก็บเสื้อผ้าของพี่ๆ ในอู่ไปซักอีก เมื่อเป็นเช่นนี้โซอิชิโร่ผู้หอบความหวังจากบ้านมาเต็มเปี่ยม จึงรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง เขาเคยประท้วงไปครั้งนึง ด้วยการเขียนคำอุทรณ์ว่าอยากทำงานซ่อมรถซะที แต่ก็ถูกทุกคนเมินเฉย....ครึ่งปีผ่านไป ผ่านทั้งคำล้อเลียน ฉี่เด็ก แล้วไหนยังจะไม่ได้จับเครื่องยนต์ที่อยากจับซะที โซอิชิโร่เลยรู้สึกว่าพอแล้ว ขอลาที กลับบ้านดีกว่า...สบโอกาสตอนดึกทุกคนนอนหลับกันหมด โซอิชิโร่ก็แบกข้าวของขึ้นหลัง และแอบปีนลงมาจากทางหน้าต่าง แต่พอเดินไปได้ครึ่งทาง หน้าพ่อก็ลอยขึ้นมา พร้อมโอวาทที่พ่อให้ไว้ “นี่คือเส้นทางที่ลูกเลือกเองนะ ไม่ว่าจะทุกข์ทรมานแค่ไหนก็ต้องอดทน หนีกลับมาทางบ้านก็ไม่ต้อนรับหรอกนะ” คิดได้ดังนั้น โซอิชิโร่ก็เลยแบกกระเป๋าและความหวังที่ลุกโชนขึ้นมาใหม่กลับไปยัง บริษัทอ าร์ต เหมือนเดิม.....ขณะกำลังจะปีนขึ้นไปก็ได้ยินเสียงบอกว่า ประตูเปิดอยู่ ไม่ต้องปีนหรอก เป็นรุ่นพี่นั่นเอง ที่แอบเห็นตอนเขาหนีออกมา รุ่พี่บอกกับโซอิชิโร่ว่า “ฉันก็เคยหนีจากร้านขายผ้าเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ว่านั่นมันเป็นงานที่ฉันไม่ชอบ แต่อู่ซ่อมรถเนี่ยมันเป็นงานที่ฉันชอบและเลือกเอง ดังนั้นก็ต้องอดทนกับมัน แต่ความอดทนอย่างเดียวก็ไม่พอเสมอไปหรอกนะ ที่สำคัญการที่คิดจะหนีไปก่อนจะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ มันน่าทุเรศ” แล้วบอกให้ดูตัวอย่างจากเด็กฝึกงานคนเก่า ที่ทำงานจิปาถะเหล่านั้นก่อนหน้าที่โซอิชิโร่จะมา ว่าเจ้านั่นก็ต้องอดทนอยู่ตั้งเกือบปี ถึงจะได้เข้าไปทำงานในอู่ เพราะฉะนั้นโซอิชิโร่เองก็ต้องอดทนเช่นเดียวกัน




หลังจากตัดสินใจสู้ต่อ ไม่นานต่อมาโซอิชิโร่ก็ได้รับอนุญาตให้ออกไปเปิดอู่ซ่อมรถที่บ้านเกิดของตัวเอง ซึ่งแรกๆ ก็ไม่ค่อยมีใครเชื่อในฝีมือเท่าไหร่ เพราะเห็นว่ายังเด็กๆ อยู่.... ต่อมาเมื่อลูกค้าคนแรกหลงเข้ามาด้วยความไม่รู้จะไปซ่อมรถที่ไหน ในคืนวันฝนตกหนัก โซอิชิโร่สามารถซ่อมรถให้ลูกค้าได้สำเร็จลุล่วง ชื่อเสียงจึงขจรขจาย ลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากมาย โซอิชิโร่จึงเริ่มีเงินทุนให้ไปค้นคว้าเรื่องเครื่องยนต์อย่างที่ชอบ จนสามารถประดิษฐ์ในแบบของตัวเองได้ ซึ่งทำมาจากจักรยานติดเครื่องยนต์ จากนั้นก็ปรับเลี่ยนรูปแบบและพัฒนาครื่องยนต์มาเรื่อยๆ จนต่อมาก็เริ่มขยายไปสร้างรถยนต์ และเริ่มทำขายเป็นเรื่องเป็นราว โดยตั้งชื่อว่ารถยนต์ “ฮอนด้า” แล้วโปรโมททั้งรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ด้วยการส่งไปแข่งขันที่ต่างประเทศ จนได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ.....ใครจะไปคิดว่าการเลือกเป็นช่างซ่อมรถ ที่ดูเป็นงานไร้เกียรติ จะทำให้ใครกลายเป็นบุคคลสำคัญของโลกไปได้




แต่ใช่ว่าเส้นทางของรถยนต์ฮอนด้าจะราบรื่นอยู่ตลอด โซอิชิโร่ต้องประสบปัญหาขาดทุน และประสบอุบัติเหตุจากการแข่งรถที่เขาลงแข่งด้วยตัวเองเอง แต่โซอิชิโร่ก็ใช้ความมุ่งมั่นที่มีมาแต่เด็กๆ ยังคงทำงานพัฒนาเครื่องยนต์ และฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งชื่อของตระกูลช่างตีเหล็ก กลายมาเป็นชื่อยี่ห้อรถยนต์ที่ผู้คนทั่วโลกนิยมใช้มาจนถึงทุกวันนี้....




นั่นคือเรื่องของคนที่ดูท่าทางไม่น่าจะเลือกอะไรในชีวิตได้เท่าไหร่นัก แต่ก็สามารถสู้จนได้มีชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ.....แล้วกับคนที่ชีวิตก็สุขสบายดีล่ะ.....บางที....การเป็นมนุษย์นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ สมมติว่าคุณรู้ว่าตัวเองเป็นใคร และต้องการจะทำอะไร และคุณมีศักยภาพเพียงพอที่จะทำสิ่งที่คุณต้องการได้....แต่คนรอบข้าง หรือสังคมที่คุณสังกัดอยู่กลับไม่ค่อยเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณคิดหรือสิ่งที่คุณทำเท่าไหร่....แล้วคุณจะทำยังไงดี....




ลองมาฟังเรื่องราวของ ทาคาชิ มูราคามิ ศิลปินร่วมสมัย ผู้ได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์เนมชื่อดัง หลุยส์ วิตตอง ให้ออกแบบกระเป๋ารุ่นใหม่ ก็รุ่นที่เปลี่ยนลายโมโนแกรมสีทึมๆ ให้กลายเป็นสีสันสดใสพร้อมลูกกะตาปิ๊งๆ บนพื้นหนังสีขาวไง ชื่อว่ารุ่น White Murakami ต่อมายังมีรุ่น Black Murakami ที่เป็นลายโมโนแกรมสีสดบนพื้นหนังสีดำ และรุ่นเชอรี่....แล้วนายมูราคามิคนนี้เป็นใครมาจากไหนกันถึงได้มาออกแบบให้กับกระเป๋าแบรนด์ดังระดับโลกอย่างนี้....




ชีวิตของมูราคามิอาจจะดูเพียบพร้อมสุขสบายกว่าโซอิชิโร่สักหน่อย ได้ร่ำเรียนถึงขั้นปริญญาเอกทางด้านศิลปะและดนตรีจากมหาวิทยาลัยโตเกียว ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังของญี่ปุ่น เทียบเท่ากับจุฬาของบ้านเรานั่นแหละ แล้วยังได้แสดงผลงานตามมิวเซียมใหญ่ดังๆ อีกทั่วโลก ส่วนผลงานที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายและเป็นที่จดจำของผู้คนก็คือ ภาพพิมพ์ชื่อ Mr. DOB และงานปูนปั้นสุดทะลึ่ง (ดูได้จากภาพประกอบ)

มูราคามิ ได้รับอิทธิพลในการทำงานจาก มังงะ (หนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น) และอนิเมะ (การ์ตูนอนิเมชั่นญี่ปุ่น) ที่รุ่งเรื่องมากในยุค 80 ซึ่งก็คือตัวการ์ตูนตาแป๋ว (ดูเหมือนงานของมูราคามิ จะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับลูกกะตาโตๆ อยู่เสมอ) จุดยืนของเขาก็คือ ทำให้ศิลปะนั้น เข้าถึงได้ง่าย มีอารมณ์ขัน เสียดสีนิดๆ เข้ากับชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่น และก้าวร้าวพอสมควร ดูไม่ค่อยจะประนีประนอมกับคนดูเท่าไหร่ (ดูได้จากงานปั้นมังงะหนุ่มกับสายยางส่วนตัว) เหตุที่งานต้องแรง ก็เป็นเพราะมูราคามิต้องการให้ผลงานของเขาประทับอยู่ในใจของผู้คนไปนานๆ นั่นเอง “ผมสื่อถึงความสิ้นหวัง”




ที่สำคัญมูราคามิเรียนรู้มาเป็นอย่างดีในเรื่องธุรกิจสิทธิประโยชน์ นั่นคือการนำภาพจากงานของเขาเองไปผลิตเป็นสินค้าสารพัด ไม่ว่าจะเป็น เสื้อยืด แก้วน้ำ พวงกุญแจ ซองมือถือ ผ่านรองเมาส์ ฯลฯ ซึ่งแน่นอนมันทำให้เงินเขามหาศาลทีเดียว ซึ่งตรงจุดนี้แลหะที่ทำให้เขาแตกต่างจากศิลปินรุ่นเก่าๆ ที่มักจะเสียรู้พ่อค้าหัวใสอยู่เสมอ ด้วยนำงานของศิลปินไปผลิต แล้วก็ทำเงินมหาศาล แต่ศิลปินไม่เคยได้อะไรเลย




มูราคามิถูกวางให้เป็น แอนดี้ วอร์ฮอล (ศิลปินชื่อดังระดับโลก) คนต่อไป แต่คนที่ไม่เห็นด้วยมองว่างานของมูราคามิเป็นพาณิชย์ศิลป์มากเกินไป และมองมูราคามิเป็นเพียงนักโฆษณาตัวเอง นายทุนที่เผอิญเป็นศิลปิน... เพราะคนเหล่านี้เห็นว่าผลงานที่จะคลาสสิคได้ และมีชื่อเสียงอยู่อย่างยาวนั้น จะต้องเป็นผลงานที่ถูกแขวนอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ดังๆ เท่านั้น และคนธรรมดาทั่วๆ ไป ก็ต้องเข้าถึงและสัมผัสศิลปะเหล่านั้นยากๆ ด้วย พวกนี้เห็นว่างานของมูราคามิบางงานหยาบเกินไป มีความเป็นมังงะมากเกินไป ซึ่งในสายตาของพวกอนุรักษ์นิยม รู้สึกว่ามังงะนั้นถูกฉาบด้วยน้ำตาลเอาไว้ล่อลวงคนดู และไม่มีความเป็นศิลปะมากพอ เพราะมันหยาบโลนมากเกินไป




ยังไงก็เหอะ อีตานี่ก็สามารถทำให้ชื่อของตัวเองเป็นที่รู้จักติดปากแฟชั่นนิสต้าที่บ้าแบรนด์เนมได้ก็แล้วกัน ตอนนี้ผู้คนเริ่มหันมามองมังงะ และอนิเมะ ในมุมใหม่ๆ มากขึ้น และถึงแม้ว่าเมื่อเอางานของมูราคามิไปวางเปรียบเทียบกับผลงานของศิลปินร่วมสมัยชาวญี่ปุ่นด้วยกันอย่าง โยชิโตโม นาระ เจ้าของผลงานภาพเด็กผู้หญิงหน้าบึ้งๆ ที่บางคนอาจจะเคยเห็นมาบ้าง (ดูภาพประกอบ) อืม....มันช่างดูคอนทราสต์กันเหลือเกิน (ขออนุญาตใช้ภาษาต่างด้าว เพื่ออรรถรสในการเข้าถึงความเข้าใจอันรุนแรงที่มีต่องานของทั้งสองคน) มูราคามิเป็นเหมือนจอมมารบูรพา ส่วนนาระดูเหมือนโลกจะเป็นสีพาสเทลไปเลยงั้นแหละ.....กระนั้นในความเป็น เจ้าตัวก็ไม่แคร์หรอกว่างานของตัวจะดูเป็นงานของคนที่มองโลกในแง่ร้ายอะไรยัง เพราะโลกศิลปะมันควรต้องมีศิลปินหลากหลายแนวมาสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการอยู่เรื่อยๆ ขืนมีแต่คนแบบเดียวเหมือนกันไปหมด โลกก็น่าเบื่อแย่สิ มูราคามิเลยขอเลือกเป็นอย่างที่ตัวเองเป็นนี่แหละ ใครจะว่าไงก็ช่าง....




ยังไงก็ตามขอยืนยันความเชื่อที่ว่าคนเรามีสิทธิ์จะเลือกเป็นอะไรก็ได้ที่เขาอยากจะเป็น แม้มันจะแปลกแตกต่างไปจากเรา หรือจากคนอื่น แต่ก็ไม่แน่ว่าอีกหน่อยมันอาจเป็นสิ่งที่ดีสำหรับตัวเขาและคนรอบข้างก็ได้ แต่บางคนอาจต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเองกันเล็กน้อย ว่าไม่ได้โง่ ไม่ได้บ้า ไม่ได้ดันทุรัง และคนที่เป็นอะไรตามๆ เขาไปเรื่อย ก็ควรจะต้องคิดเอาไว้เป็นการบ้านของชีวิตได้แล้ว ว่าชีวิตตัวเองเกิดมาแล้วจะเลือกเดินไปทางไหนดี ไม่ต้องกลัวจะแปลก ไม่ต้องกลัวจะต่าง ถ้ามันไม่ผิดศีลธรรม จริยธรรม ไม่ได้ไปฆ่าใคร..... อยากทำอะไรก็เริ่มเลย....



จากคอลัมน์ Zoom In ในนิตยสาร ULife

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Bakuman : แอล กับ ไลท์ ภาคปกติ และลัทธิดูถูกผู้หญิง


สืบเนื่องมาจากเพื่อนนุ่นแนะนำให้รู้จักกับ Bakuman หลังจากนั้นไม่นานน้องสาวก็สำทับมาอีกว่า "มันสนุกจริงๆ นะตัวเอง"



น้องบอกว่าของคนเขียนคนเดียวกับ เดธ โน้ต เราก็เลยไม่ต้องลังเลอีกต่อไป เพราะเดธโน้ตก็เป็นหนึ่งในการ์ตูนในดวงใจอยู่แล้ว



วันศุกร์ที่ผ่านมาก็เลยไปสอยมันมาอ่านจนได้อ่านๆ ไปแล้วก็รู้สึกขึ้นมา 2 เรื่อง



เรื่องแรก คือ คาแรคเตอร์ของ โมริทากะ (ไซโค) กับ อาคิโตะ (ชูจิน) มันช่างเหมือน แอล กับ ไลท์ซะเหลือเกิน แต่เป็นแอล กับ ไลท์ ในภาคคนปกติ



บุคลิกของ ไซโค ดูดาร์คหน่อยๆ ปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นไม่ค่อยเก่ง (โดยเฉพาะผู้หญิง) เหมือนแอลเลย แต่ไซโคไม่ได้มั่นใจในตัวเองมากเหมือนแอล



บุคลิกของ ชูจิน ก็เป็นคนฉลาด หัวดี มั่นใจในตัวเอง เจ้าเล่ห์นิดๆ กะล่อนหน่อยๆ เหมือนไลท์แต่ไม่โรคจิต ร้ายกาจเหมือนไลท์



แอบจิ้นไปเองว่า ถ้าแอล กับ ไลท์ มาเจอกันในภาคคนปกติ มันก็คงจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแบบนี้นี่เองล่ะมั้ง



เรื่องที่สอง คือ การ์ตูนของคนเขียนคนนี้ แอบแฝงการดูถูกผู้หญิงแบบผู้ชายญี่ปุ่นส่วนใหญ่เอาไว้ด้วย ตั้งแต่เดธ โน้ตแล้วล่ะ



ตอนเดธ โน้ต ตัวละครผู้หญิงในการ์ตูนเรื่องนี้ ถ้าไม่ไร้สติแบบมิสะ ก็จะต้องอ่อนแอพึ่งพาตัวเองไม่ได้ แบบน้องสาวของไลท์ ผู้หญิงในเรื่องนี้เป็นแค่หมากบนกระดานของไลท์ทั้งนั้นเลย หาคนที่จะฉลาดเท่าทันไอ้ไลท์มันก็ยากยิ่ง ขนาดอุตส่าห์มีมาคนนึง ก็ยังโดนมันฆ่าตายจนได้



ส่วน Bakuman อ่านเล่มแรกจบไป ก็รู้สึกตะหงิดๆ กับไอ้บทสนทนาระหว่างไซโคกับชูจิน ที่คุยถึงเรื่องความหัวดีของคนในโรงเรียน แล้วมันบอกว่าอาซึกิ ผู้หญิงที่ไซโคแอบชอบ เป็นคนหัวดี เพราะจริงๆ แล้วอาซึกิน่าจะเรียนเก่ง แต่แกล้งทำเป็นเรียนปานกลาง เพราะรู้ตัวว่าเป็นเด็กผู้หญิง จึงไม่ควรจะทำตัวเก่งเกินหน้าผู้ชาย



แล้วมันก็บอกอีกว่าเด็กผู้หญิงอีกคนในห้องที่เรียนเก่งๆ ไม่น่ารัก เพราะว่าทำตัวเก่งเกินคนอื่นๆ และชอบวางท่าข่มคนอื่น (มันรู้สึกไปเอง หรือเป็นงั้นจริงๆ ก็ไม่มีทางรู้ได้ว่ะ)



กับอีกตอนที่ไซโคมันไปขอแม่ว่าจะเป็นนักเขียนการ์ตูน แล้วแม่ไม่เห็นด้วย เพราะอาของไซโคก็เป็นนักเขียนการ์ตูนเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ แถมยังทำงานหนักจนป่วยตาย แม่เลยกังวลตามประสาคนเป็นแม่ แต่พอแม่ไปบอกพ่อหวังจะให้ช่วยกันคัดค้านลูก พ่อกลับบอกกับแม่ว่า



"ผู้ชายก็มีความฝันของลูกผู้ชาย ผู้หญิงน่ะไม่เข้าใจหรอก"



โอววววว !!!!! ผู้ชายเท่านั้นที่มีความฝันได้เหรอวะ แถมอีสองตัวนี้มันยังดูถูกความฝันของอาซึกิที่อยากเป็นนักพากย์ ว่า ก็แค่หาอะไรที่คนทั่วไปกำลังนิยม แล้วเอามาเป็นความฝันของตัวเองก็เท่านั้น จริงๆ ความฝันของอาซึกิน่าจะเป็นการได้เป็นเจ้าสาวแสนสวยมากกว่า....



มันก็จริงอยู่หรอกที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็อยากแต่งงาน เป็นเจ้าสาวแสนสวยอะไรนั่น แต่มันก็ต้องมีความฝันอย่างอื่นในชีวิตมั่งสิวะ เกิดยึดแต่ความฝันว่าอยากแต่งงานอย่างเดียว แล้วฝ่ายชายเกิดตายไปกะทันหันก่อนแต่งงาน หรือรักล่ม หรือผู้ชายคนที่จะแต่งงานด้วย จริงๆ แล้วแม่งเป็นเกย์ งี้ก็ตายไปเลยดิ



เรามีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นหลายคนเหมือนกัน (หลายๆ คนในนี้เราก็รู้ว่าเค้าก็มีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นเหมือนกัน) แต่ละคนก็ต่างวัยกันไป คนรุ่น 35 อัพ จะเป็นพวกไม่ชอบทำตัวแตกต่างจากคนอื่น แล้วก็ไม่ค่อยจะคิดว่าภรรยาก็มีหัวใจ



เคยรู้จักคนญี่ปุ่นคนหนึ่งแก่กว่าเรา 5 ปี เค้าเป็นหนึ่งในนักเรียนต่างชาติที่เราเคยไปสอนภาษาไทยให้ ภรรยาเค้าเพิ่งจะคลอดลูก เค้ามาถามเราว่าการไม่ไปดูแลภรรยาที่โรงพยาบาลนี่มันแปลกมากเหรอ ในสายตาคนไทย



เพราะคนที่ทำงานเค้าพอรู้ว่าภรรยาเค้าคลอดลูก แล้วเค้ายังมาทำงานตามปกติ ก็ถามเค้าว่าทำไมไม่ลาไปดูแลภรรยา ออกแนวประณามเค้าอีกต่างหาก เค้าก็งง ว่ามันจะอะไรกันหนักหนา แค่เมียคลอดลูก....เค้าไม่ได้คิดว่าภรรยาต้องทนเจ็บปวดจากการคลอดลูกขนาดไหนอ่ะ เค้าคงคิดว่ามันง่ายๆ ไม่เห็นต้องไปดูแล เราก็งงๆ กับพี่แกเหมือนกัน



แล้วเคยคุยกันเรื่องงาน เค้าเห็นเราเปลี่ยนงานประจำบ่อย ช่วงยังไม่ลงตัว ยังหาทางเข้าไปสู่แวดวงที่ชอบไม่ได้ เค้าก็ทำหน้าละเหี่ยใจ ว่านี่มึงเปลี่ยนงานประจำอีกแล้วเหรอเนี่ย ครั้งที่เท่าไหร่แล้วล่ะ เราก็บอกว่าเราอยากเป็นนักเขียน และเรากำลังหาทางให้ได้ทำงานที่ตัวเองชอบอยู่



ส่วนเค้าตอนนั้นอายุ 29 ไม่ชอบอยู่ประเทศตัวเอง เคยอยู่สิงค์โปร์มา 9 ปี แต่งงานเพราะการดูตัว และทำงานที่เมืองไทยเป็นผู้จัดการโรงงานแถวอยุธยา มีรถประจำตำแหน่ง มีคอนโดแถวทองหล่อที่บริษัทจ่ายค่าเช่าให้ ดูๆ ไปก็ดีอยู่อ่ะ แต่เค้าเหมือนเซ็งๆ ชอบกล ถามว่าไม่กลับไปอยู่บ้านเหรอ เค้าบอกว่าญี่ปุ่นน่าเบื่อ ค่าครองชีพก็สูง ขืนไปอยู่ที่นั่น เงินคงไม่พอเหมือนอยู่ที่นี่



เราคิดเอาเองว่า มันจะเป็นไงนะ ถ้าเค้าหาภรรยาเอาเอง โดยไม่ผ่านการดูตัว (พี่แกชอบบ่นว่ามักจะทะเลาะกับภรรยาเป็นประจำ) แล้วมันจะเป็นไงนะถ้าเค้ามีอะไรสักอย่างที่ชอบ และลองพยายามไปให้ถึงมัน ก็ได้แค่คิดแหละ เพราะเราก็ไม่อาจะจะรู้ได้ว่า สุดท้ายถ้าเค้าดำเนินชีวิตแบบที่เราคิด แล้วชีวิตเค้ามันจะดีไปกว่านี้มั๊ย



เราว่ามันคงขึ้นอยู่กับว่าทั้งเค้าและเราเอาอะไรเป็นตัวตั้งในการดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มากกว่า



สำหรับเราตัวคนเดียว เรายอมกินแกลบ ยอมลำบากเพื่อรอเวลาไปให้ถึงจุดที่เราตั้งใจและใฝ่ฝัน แต่สำหรับเค้าการทำงานดีๆ มีเงินเยอะๆ มีฐานะการงานที่มั่นคงมันอาจจะเป็นชีวิตที่น่าปรารถนามากกว่าก็ได้



สำคัญคือถ้าเลือกหนทาง และวิถีชีวิตของตัวเองไปแล้ว เราก็ต้องมีความสุขและพอใจกับมันจริงๆ อ่ะ อย่าแกล้งทำเป็นมีความสุข เพราะสังคมส่วนใหญ่บอกว่าทำแบบนี้แล้วมึงจะมีความสุข เราไม่เคยเชื่อในการมีชีวิตอยู่แบบนั้นเลยว่ะ มันเหมือนแค่รอให้ผ่านไปวันๆ



แต่ที่แน่ๆ นะ อีไซโค (หริออีกนัยนึงน่าจะเป็น อีตา ทาเคชิ โอบาตะ คนวาดภาพการ์ตูนเรื่องนี้และเดธ โน้ต กับอีตาซึกุมิ โอบะ คู่หูคนเขียนเนื้อเรื่อง เราว่ากำลังมันเขียนเล่าเรื่องตัวเองอยู่กลายๆ นะ)



"ผู้หญิงก็มีความฝันของตัวเอง ที่ไม่ใช่แค่ฝันจะแต่งงานเป็นเจ้าสาวแสนสวยของใครสักคน"