วันนี้ไปนวดตัวมา 2 ชั่วโมง และตั้งใจไว้ว่า นวดเสร็จ จะต้องรีบไปดูหนังเรื่องนี้ให้จงได้ แม้ว่าตอนจองตั๋วจะมีเรื่องน่าหงุดหงิดนิดหน่อยเกี่ยวกับพนักงานที่แจ้งรายละเอียดสิ่งที่เราถามไปไม่หมด ทำให้ต้องเสียเงินค่าตั๋ว ทั้งที่เรามี Gift Vocher ที่ไม่ต้องเสียเงินสักบาทอยู่ในมือ และมันก็ยังใช้ได้ตามปกติ และใช้ได้กับทุกที่นั่งด้วย แต่นางเพิ่งมาบอกตอนจ่ายตังค์แล้ว ออกบิลแล้ว เปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว shit! (เดี๋ยวจะกลับมาเล่าอีกทีว่าอี SF ที่ CTW มันทำให้หงุดหงิดยังไง)
แต่...ช่างแม่งเหอะ พอเข้าไปดูหนัง หลังจาก 10 นาทีแรกผ่านไป ความหงุดหงิดใจก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง หันไปจดจ่อกับหนังแทน และเริ่มคิดได้ว่านี่อาจเป็นหนังที่ดีที่สุดที่เราจะได้ดูในปีนี้ก็ได้นะเนี่ย (จริงๆ นี่คือหนังหนังของปี 2011).....จึงต้องกลับมาเปิดบล็อกที่ล็อคไว้เป็นการด่วน เผื่อว่าจะมีใครมาเสิร์ชเจอ แล้วกำลังคิดจะไปดูหนังเรื่องนี้อยู่ แต่ยังไม่แน่ใจในความสนุก เค้าจะได้ไม่พลาดหนังเรื่องนี้....
“The Skin I Live In” หนังของเจ้าป้า “Pedro Almodóvar” เรื่องนี้ มันควรค่าแก่การไปดูยังไง (ใครๆ ก็เรียกนางว่า “เจ้าป้า” ด้วยความเคารพ เพื่อนๆ ที่สตาร์พิคก็เรียกนางว่าเจ้าป้า อันที่จริงเราเคยเกือบจะได้ดูรอบสื่อ “Bad Education” ตอนที่มันมาฉายในไทยของเจ้าป้าแล้ว แต่ก็ไม่ได้ดู รู้สึกตอนนั้นจะโดนแย่งโควต้าไป T__T แต่ก็พอจะรู้ทางหนังของนางอยู่บ้าง ป้าแกเป็นเกย์เปิดเผย ก็มีประเด็นเกย์และรักร่วมเพศแทรกมาบ้างในหนังบางเรื่อง เอ๊ะ !!! หรือทุกเรื่อง !!) “The Skin I Live In” เป็นหนังประเภทที่ว่า ก่อนเข้าไป เราคิดว่าเราจะได้ดูหนังแบบหนึ่ง แต่พอดูจนจบ ออกมาจากโรงแล้ว กลายเป็นว่าเราได้ดูหนังอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับที่คิดเอาไว้แต่แรกเลย หนังมันคาดเดาอะไรไม่ได้เลย เจ้าป้าเขียนบทได้ดีมาก แม้หน้าหนังจะแลดูเรื่อยๆ มาเรียงๆ บวกกับชื่อไทยที่น่าเข้าใจผิด ว่าเป็นหนังแนวพิศวาสฆาตกรรมอะไรรึเปล่า เปล๊า !!!
มันคือหนังดราม่า ทริลเลอร์โรคจิตเรื่องหนึ่ง ที่มีเนื้อเรื่องหักไปคนละทางกับตอนเริ่มเรื่องเลย หักแบบตกเก้าอี้ตาย ตอนที่ดูผ่านไปสักครึ่งชั่วโมงโดยประมาณ พอจะเริ่มจับต้นชนปลายถูกบ้างแล้ว ก็ได้แต่คิดว่า “มึงอย่านะๆ มึงจะเล่นงี้เลยเหรอ” ซึ่งเล่าไม่ได้ด้วย ว่าอะไรยังไง ขืนเล่าไป อรรถรสในการรับชมจะหมดลงทันที แต่อย่าไปหวังการหักมุมแบบ “Identity” หรือ “The Others” อะไรงี้นะ ไม่ได้มาแนวนั้น แต่บอกได้คำเดียวว่า “The Skin I Live In” ทำให้เราเข้าใจว่า คำว่า “อำมหิต” นั้น ไม่จำเป็นต้องทำให้ตายก็ได้ และการบังคับให้คนๆ หนึ่ง มีชีวิตอยู่ในชีวิตที่ตัวเองไม่เคยอยากจะได้มา มันโหดร้ายเสียยิ่งกว่าการฆ่ากันเสียอีก แล้วมันก็ยังทำให้เรารู้ว่า โรค Stockholm Syndrome นั้นสามารถเกิดขึ้นกับคนร้ายได้มากพอๆ กับที่จะเกิดกับขึ้นเหยื่อที่ถูกจับตัวไป...
เรื่องย่อๆ เท่าที่สามารถเล่าให้ฟังได้ ก็คือ มีหญิงสาวสวยมากนางหนึ่ง มีชีวิตอยู่ในห้องที่ถูกปิดทางเข้าออกไว้หมด เธอใส่แต่ชุดรัดรูปแนบเนื้อสีเนื้อ และเธอถูกจับตาดูตลอด 24 ชั่วโมงด้วยกล้องวงจรปิดที่คุณภาพดีมาก โดยภาพจะไปปรากฏอยู่ในครัวให้คนรับใช้ที่คอยดูแลเธอได้เห็นความเป็นไปต่างๆ ของเธอภายในห้องนั้น นอกจากมีคนรับใช้คอยเฝ้าดูชีวิตประจำวันของเธอแล้ว ทุกอย่างที่เธอทำ ยังไปปรากฏอยู่บนจอภาพใหญ่บะเริ่ม ที่ตั้งอยู่ในห้องของศัลยแพทย์ชื่อดัง ที่สูญเสียภรรยาผู้เป็นที่รักยิ่ง และงดงามมากไปในกองไฟ เขาชอบมานั่งดูเธอผ่านทางจอภาพขนาดใหญ่นั้นอย่างหลงไหล หลังเขากลับจากทำงาน และเขามักจะซูมเข้าไปดูใบหน้าของเธออย่างใกล้ชิดเสียด้วย ศัลยแพทย์ผู้นี้ดูเหมือนกำลังทำการทดลองเรื่องปลูกถ่ายยีนจากหมูมาสู่คน เพื่อให้ได้ผิวหนังที่ทนทานต่อไฟไหม้ และโรคมาลาเรีย (ยุงกัดไม่เข้า) และเค้าก็ไม่ได้ทำการทดลองกับสัตว์ทดลองเสียด้วย....
เริ่มเดาเรื่องได้มั่งยัง แต่ช้าก่อน มันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิดก็ได้ แล้วผู้หญิงในห้องปิดตายนั้นเป็นใคร...แล้วยังมีแม่บ้าน ท่าทางจิตๆ อีกคน ที่ทำหน้าที่ดูแล หญิงสาวผู้นี้ โดยไม่ถามนายของตัวเองสักคำ ว่าทำไมจึงต้องล็อคห้องของหญิงสาว ปริศนาคนนี้ไว้ตลอดเวลา ปริศนาทั้งหมดนี้ คงต้องเสียเวลาไปดูกันเองแล้วล่ะ ซึ่งรู้สึกว่า ณ ตอนนี้ จะมีฉายอยู่แค่ที่ CTW เจ้าปัญหาที่เดียวเท่านั้น แต่มีรอบให้ดูหลายรอบอยู่
และคืนนี้คงจะใช้สมองขบคิดถึงหนังเรื่องนี้อีกนานเลย และคงจะสร้างตอนจบแบบที่ตัวเองต้องการไว้ดูเองในสมองด้วย เพราะมันยังเหมือนขาดอะไรไปอีกหน่อยนะ หน่อยเดียวเท่านั้น....
หมายเหตุ: entry นี้เขียนไว้ที่อีกบล็อกนึง ณ วันเสาร์ที่ 28 ม.ค. 2555
แต่...ช่างแม่งเหอะ พอเข้าไปดูหนัง หลังจาก 10 นาทีแรกผ่านไป ความหงุดหงิดใจก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง หันไปจดจ่อกับหนังแทน และเริ่มคิดได้ว่านี่อาจเป็นหนังที่ดีที่สุดที่เราจะได้ดูในปีนี้ก็ได้นะเนี่ย (จริงๆ นี่คือหนังหนังของปี 2011).....จึงต้องกลับมาเปิดบล็อกที่ล็อคไว้เป็นการด่วน เผื่อว่าจะมีใครมาเสิร์ชเจอ แล้วกำลังคิดจะไปดูหนังเรื่องนี้อยู่ แต่ยังไม่แน่ใจในความสนุก เค้าจะได้ไม่พลาดหนังเรื่องนี้....
“The Skin I Live In” หนังของเจ้าป้า “Pedro Almodóvar” เรื่องนี้ มันควรค่าแก่การไปดูยังไง (ใครๆ ก็เรียกนางว่า “เจ้าป้า” ด้วยความเคารพ เพื่อนๆ ที่สตาร์พิคก็เรียกนางว่าเจ้าป้า อันที่จริงเราเคยเกือบจะได้ดูรอบสื่อ “Bad Education” ตอนที่มันมาฉายในไทยของเจ้าป้าแล้ว แต่ก็ไม่ได้ดู รู้สึกตอนนั้นจะโดนแย่งโควต้าไป T__T แต่ก็พอจะรู้ทางหนังของนางอยู่บ้าง ป้าแกเป็นเกย์เปิดเผย ก็มีประเด็นเกย์และรักร่วมเพศแทรกมาบ้างในหนังบางเรื่อง เอ๊ะ !!! หรือทุกเรื่อง !!) “The Skin I Live In” เป็นหนังประเภทที่ว่า ก่อนเข้าไป เราคิดว่าเราจะได้ดูหนังแบบหนึ่ง แต่พอดูจนจบ ออกมาจากโรงแล้ว กลายเป็นว่าเราได้ดูหนังอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับที่คิดเอาไว้แต่แรกเลย หนังมันคาดเดาอะไรไม่ได้เลย เจ้าป้าเขียนบทได้ดีมาก แม้หน้าหนังจะแลดูเรื่อยๆ มาเรียงๆ บวกกับชื่อไทยที่น่าเข้าใจผิด ว่าเป็นหนังแนวพิศวาสฆาตกรรมอะไรรึเปล่า เปล๊า !!!
มันคือหนังดราม่า ทริลเลอร์โรคจิตเรื่องหนึ่ง ที่มีเนื้อเรื่องหักไปคนละทางกับตอนเริ่มเรื่องเลย หักแบบตกเก้าอี้ตาย ตอนที่ดูผ่านไปสักครึ่งชั่วโมงโดยประมาณ พอจะเริ่มจับต้นชนปลายถูกบ้างแล้ว ก็ได้แต่คิดว่า “มึงอย่านะๆ มึงจะเล่นงี้เลยเหรอ” ซึ่งเล่าไม่ได้ด้วย ว่าอะไรยังไง ขืนเล่าไป อรรถรสในการรับชมจะหมดลงทันที แต่อย่าไปหวังการหักมุมแบบ “Identity” หรือ “The Others” อะไรงี้นะ ไม่ได้มาแนวนั้น แต่บอกได้คำเดียวว่า “The Skin I Live In” ทำให้เราเข้าใจว่า คำว่า “อำมหิต” นั้น ไม่จำเป็นต้องทำให้ตายก็ได้ และการบังคับให้คนๆ หนึ่ง มีชีวิตอยู่ในชีวิตที่ตัวเองไม่เคยอยากจะได้มา มันโหดร้ายเสียยิ่งกว่าการฆ่ากันเสียอีก แล้วมันก็ยังทำให้เรารู้ว่า โรค Stockholm Syndrome นั้นสามารถเกิดขึ้นกับคนร้ายได้มากพอๆ กับที่จะเกิดกับขึ้นเหยื่อที่ถูกจับตัวไป...
เรื่องย่อๆ เท่าที่สามารถเล่าให้ฟังได้ ก็คือ มีหญิงสาวสวยมากนางหนึ่ง มีชีวิตอยู่ในห้องที่ถูกปิดทางเข้าออกไว้หมด เธอใส่แต่ชุดรัดรูปแนบเนื้อสีเนื้อ และเธอถูกจับตาดูตลอด 24 ชั่วโมงด้วยกล้องวงจรปิดที่คุณภาพดีมาก โดยภาพจะไปปรากฏอยู่ในครัวให้คนรับใช้ที่คอยดูแลเธอได้เห็นความเป็นไปต่างๆ ของเธอภายในห้องนั้น นอกจากมีคนรับใช้คอยเฝ้าดูชีวิตประจำวันของเธอแล้ว ทุกอย่างที่เธอทำ ยังไปปรากฏอยู่บนจอภาพใหญ่บะเริ่ม ที่ตั้งอยู่ในห้องของศัลยแพทย์ชื่อดัง ที่สูญเสียภรรยาผู้เป็นที่รักยิ่ง และงดงามมากไปในกองไฟ เขาชอบมานั่งดูเธอผ่านทางจอภาพขนาดใหญ่นั้นอย่างหลงไหล หลังเขากลับจากทำงาน และเขามักจะซูมเข้าไปดูใบหน้าของเธออย่างใกล้ชิดเสียด้วย ศัลยแพทย์ผู้นี้ดูเหมือนกำลังทำการทดลองเรื่องปลูกถ่ายยีนจากหมูมาสู่คน เพื่อให้ได้ผิวหนังที่ทนทานต่อไฟไหม้ และโรคมาลาเรีย (ยุงกัดไม่เข้า) และเค้าก็ไม่ได้ทำการทดลองกับสัตว์ทดลองเสียด้วย....
เริ่มเดาเรื่องได้มั่งยัง แต่ช้าก่อน มันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิดก็ได้ แล้วผู้หญิงในห้องปิดตายนั้นเป็นใคร...แล้วยังมีแม่บ้าน ท่าทางจิตๆ อีกคน ที่ทำหน้าที่ดูแล หญิงสาวผู้นี้ โดยไม่ถามนายของตัวเองสักคำ ว่าทำไมจึงต้องล็อคห้องของหญิงสาว ปริศนาคนนี้ไว้ตลอดเวลา ปริศนาทั้งหมดนี้ คงต้องเสียเวลาไปดูกันเองแล้วล่ะ ซึ่งรู้สึกว่า ณ ตอนนี้ จะมีฉายอยู่แค่ที่ CTW เจ้าปัญหาที่เดียวเท่านั้น แต่มีรอบให้ดูหลายรอบอยู่
และคืนนี้คงจะใช้สมองขบคิดถึงหนังเรื่องนี้อีกนานเลย และคงจะสร้างตอนจบแบบที่ตัวเองต้องการไว้ดูเองในสมองด้วย เพราะมันยังเหมือนขาดอะไรไปอีกหน่อยนะ หน่อยเดียวเท่านั้น....
หมายเหตุ: entry นี้เขียนไว้ที่อีกบล็อกนึง ณ วันเสาร์ที่ 28 ม.ค. 2555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น