วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Bakuman : แอล กับ ไลท์ ภาคปกติ และลัทธิดูถูกผู้หญิง


สืบเนื่องมาจากเพื่อนนุ่นแนะนำให้รู้จักกับ Bakuman หลังจากนั้นไม่นานน้องสาวก็สำทับมาอีกว่า "มันสนุกจริงๆ นะตัวเอง"



น้องบอกว่าของคนเขียนคนเดียวกับ เดธ โน้ต เราก็เลยไม่ต้องลังเลอีกต่อไป เพราะเดธโน้ตก็เป็นหนึ่งในการ์ตูนในดวงใจอยู่แล้ว



วันศุกร์ที่ผ่านมาก็เลยไปสอยมันมาอ่านจนได้อ่านๆ ไปแล้วก็รู้สึกขึ้นมา 2 เรื่อง



เรื่องแรก คือ คาแรคเตอร์ของ โมริทากะ (ไซโค) กับ อาคิโตะ (ชูจิน) มันช่างเหมือน แอล กับ ไลท์ซะเหลือเกิน แต่เป็นแอล กับ ไลท์ ในภาคคนปกติ



บุคลิกของ ไซโค ดูดาร์คหน่อยๆ ปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นไม่ค่อยเก่ง (โดยเฉพาะผู้หญิง) เหมือนแอลเลย แต่ไซโคไม่ได้มั่นใจในตัวเองมากเหมือนแอล



บุคลิกของ ชูจิน ก็เป็นคนฉลาด หัวดี มั่นใจในตัวเอง เจ้าเล่ห์นิดๆ กะล่อนหน่อยๆ เหมือนไลท์แต่ไม่โรคจิต ร้ายกาจเหมือนไลท์



แอบจิ้นไปเองว่า ถ้าแอล กับ ไลท์ มาเจอกันในภาคคนปกติ มันก็คงจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแบบนี้นี่เองล่ะมั้ง



เรื่องที่สอง คือ การ์ตูนของคนเขียนคนนี้ แอบแฝงการดูถูกผู้หญิงแบบผู้ชายญี่ปุ่นส่วนใหญ่เอาไว้ด้วย ตั้งแต่เดธ โน้ตแล้วล่ะ



ตอนเดธ โน้ต ตัวละครผู้หญิงในการ์ตูนเรื่องนี้ ถ้าไม่ไร้สติแบบมิสะ ก็จะต้องอ่อนแอพึ่งพาตัวเองไม่ได้ แบบน้องสาวของไลท์ ผู้หญิงในเรื่องนี้เป็นแค่หมากบนกระดานของไลท์ทั้งนั้นเลย หาคนที่จะฉลาดเท่าทันไอ้ไลท์มันก็ยากยิ่ง ขนาดอุตส่าห์มีมาคนนึง ก็ยังโดนมันฆ่าตายจนได้



ส่วน Bakuman อ่านเล่มแรกจบไป ก็รู้สึกตะหงิดๆ กับไอ้บทสนทนาระหว่างไซโคกับชูจิน ที่คุยถึงเรื่องความหัวดีของคนในโรงเรียน แล้วมันบอกว่าอาซึกิ ผู้หญิงที่ไซโคแอบชอบ เป็นคนหัวดี เพราะจริงๆ แล้วอาซึกิน่าจะเรียนเก่ง แต่แกล้งทำเป็นเรียนปานกลาง เพราะรู้ตัวว่าเป็นเด็กผู้หญิง จึงไม่ควรจะทำตัวเก่งเกินหน้าผู้ชาย



แล้วมันก็บอกอีกว่าเด็กผู้หญิงอีกคนในห้องที่เรียนเก่งๆ ไม่น่ารัก เพราะว่าทำตัวเก่งเกินคนอื่นๆ และชอบวางท่าข่มคนอื่น (มันรู้สึกไปเอง หรือเป็นงั้นจริงๆ ก็ไม่มีทางรู้ได้ว่ะ)



กับอีกตอนที่ไซโคมันไปขอแม่ว่าจะเป็นนักเขียนการ์ตูน แล้วแม่ไม่เห็นด้วย เพราะอาของไซโคก็เป็นนักเขียนการ์ตูนเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ แถมยังทำงานหนักจนป่วยตาย แม่เลยกังวลตามประสาคนเป็นแม่ แต่พอแม่ไปบอกพ่อหวังจะให้ช่วยกันคัดค้านลูก พ่อกลับบอกกับแม่ว่า



"ผู้ชายก็มีความฝันของลูกผู้ชาย ผู้หญิงน่ะไม่เข้าใจหรอก"



โอววววว !!!!! ผู้ชายเท่านั้นที่มีความฝันได้เหรอวะ แถมอีสองตัวนี้มันยังดูถูกความฝันของอาซึกิที่อยากเป็นนักพากย์ ว่า ก็แค่หาอะไรที่คนทั่วไปกำลังนิยม แล้วเอามาเป็นความฝันของตัวเองก็เท่านั้น จริงๆ ความฝันของอาซึกิน่าจะเป็นการได้เป็นเจ้าสาวแสนสวยมากกว่า....



มันก็จริงอยู่หรอกที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็อยากแต่งงาน เป็นเจ้าสาวแสนสวยอะไรนั่น แต่มันก็ต้องมีความฝันอย่างอื่นในชีวิตมั่งสิวะ เกิดยึดแต่ความฝันว่าอยากแต่งงานอย่างเดียว แล้วฝ่ายชายเกิดตายไปกะทันหันก่อนแต่งงาน หรือรักล่ม หรือผู้ชายคนที่จะแต่งงานด้วย จริงๆ แล้วแม่งเป็นเกย์ งี้ก็ตายไปเลยดิ



เรามีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นหลายคนเหมือนกัน (หลายๆ คนในนี้เราก็รู้ว่าเค้าก็มีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นเหมือนกัน) แต่ละคนก็ต่างวัยกันไป คนรุ่น 35 อัพ จะเป็นพวกไม่ชอบทำตัวแตกต่างจากคนอื่น แล้วก็ไม่ค่อยจะคิดว่าภรรยาก็มีหัวใจ



เคยรู้จักคนญี่ปุ่นคนหนึ่งแก่กว่าเรา 5 ปี เค้าเป็นหนึ่งในนักเรียนต่างชาติที่เราเคยไปสอนภาษาไทยให้ ภรรยาเค้าเพิ่งจะคลอดลูก เค้ามาถามเราว่าการไม่ไปดูแลภรรยาที่โรงพยาบาลนี่มันแปลกมากเหรอ ในสายตาคนไทย



เพราะคนที่ทำงานเค้าพอรู้ว่าภรรยาเค้าคลอดลูก แล้วเค้ายังมาทำงานตามปกติ ก็ถามเค้าว่าทำไมไม่ลาไปดูแลภรรยา ออกแนวประณามเค้าอีกต่างหาก เค้าก็งง ว่ามันจะอะไรกันหนักหนา แค่เมียคลอดลูก....เค้าไม่ได้คิดว่าภรรยาต้องทนเจ็บปวดจากการคลอดลูกขนาดไหนอ่ะ เค้าคงคิดว่ามันง่ายๆ ไม่เห็นต้องไปดูแล เราก็งงๆ กับพี่แกเหมือนกัน



แล้วเคยคุยกันเรื่องงาน เค้าเห็นเราเปลี่ยนงานประจำบ่อย ช่วงยังไม่ลงตัว ยังหาทางเข้าไปสู่แวดวงที่ชอบไม่ได้ เค้าก็ทำหน้าละเหี่ยใจ ว่านี่มึงเปลี่ยนงานประจำอีกแล้วเหรอเนี่ย ครั้งที่เท่าไหร่แล้วล่ะ เราก็บอกว่าเราอยากเป็นนักเขียน และเรากำลังหาทางให้ได้ทำงานที่ตัวเองชอบอยู่



ส่วนเค้าตอนนั้นอายุ 29 ไม่ชอบอยู่ประเทศตัวเอง เคยอยู่สิงค์โปร์มา 9 ปี แต่งงานเพราะการดูตัว และทำงานที่เมืองไทยเป็นผู้จัดการโรงงานแถวอยุธยา มีรถประจำตำแหน่ง มีคอนโดแถวทองหล่อที่บริษัทจ่ายค่าเช่าให้ ดูๆ ไปก็ดีอยู่อ่ะ แต่เค้าเหมือนเซ็งๆ ชอบกล ถามว่าไม่กลับไปอยู่บ้านเหรอ เค้าบอกว่าญี่ปุ่นน่าเบื่อ ค่าครองชีพก็สูง ขืนไปอยู่ที่นั่น เงินคงไม่พอเหมือนอยู่ที่นี่



เราคิดเอาเองว่า มันจะเป็นไงนะ ถ้าเค้าหาภรรยาเอาเอง โดยไม่ผ่านการดูตัว (พี่แกชอบบ่นว่ามักจะทะเลาะกับภรรยาเป็นประจำ) แล้วมันจะเป็นไงนะถ้าเค้ามีอะไรสักอย่างที่ชอบ และลองพยายามไปให้ถึงมัน ก็ได้แค่คิดแหละ เพราะเราก็ไม่อาจะจะรู้ได้ว่า สุดท้ายถ้าเค้าดำเนินชีวิตแบบที่เราคิด แล้วชีวิตเค้ามันจะดีไปกว่านี้มั๊ย



เราว่ามันคงขึ้นอยู่กับว่าทั้งเค้าและเราเอาอะไรเป็นตัวตั้งในการดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มากกว่า



สำหรับเราตัวคนเดียว เรายอมกินแกลบ ยอมลำบากเพื่อรอเวลาไปให้ถึงจุดที่เราตั้งใจและใฝ่ฝัน แต่สำหรับเค้าการทำงานดีๆ มีเงินเยอะๆ มีฐานะการงานที่มั่นคงมันอาจจะเป็นชีวิตที่น่าปรารถนามากกว่าก็ได้



สำคัญคือถ้าเลือกหนทาง และวิถีชีวิตของตัวเองไปแล้ว เราก็ต้องมีความสุขและพอใจกับมันจริงๆ อ่ะ อย่าแกล้งทำเป็นมีความสุข เพราะสังคมส่วนใหญ่บอกว่าทำแบบนี้แล้วมึงจะมีความสุข เราไม่เคยเชื่อในการมีชีวิตอยู่แบบนั้นเลยว่ะ มันเหมือนแค่รอให้ผ่านไปวันๆ



แต่ที่แน่ๆ นะ อีไซโค (หริออีกนัยนึงน่าจะเป็น อีตา ทาเคชิ โอบาตะ คนวาดภาพการ์ตูนเรื่องนี้และเดธ โน้ต กับอีตาซึกุมิ โอบะ คู่หูคนเขียนเนื้อเรื่อง เราว่ากำลังมันเขียนเล่าเรื่องตัวเองอยู่กลายๆ นะ)



"ผู้หญิงก็มีความฝันของตัวเอง ที่ไม่ใช่แค่ฝันจะแต่งงานเป็นเจ้าสาวแสนสวยของใครสักคน"

3 ความคิดเห็น:

  1. หนูว่า เพื่อนพี่คนนี้คงเป็นเด็กที่ถูกครอบความคิดตั้งแต่เด็กๆเลยอะ แบบว่า ถูกครอบว่า แบบนี้ดี แบบนั้นโอเค เรียนๆๆนะ เด๋วจบมามึงทำงานอันนี้ๆๆนะ แล้วมึงไปแต่งงานกับอีนั่นนะ แค่นั้น ทำงาน ปลดเกษียณ แก่อยู่บ้าน ตายห่าไป

    การโดนครอบความคิด และยอมรับมันแบบนั้น ก็จบแล้ว ชีวิตนี้ ถ้าถูกครอบแล้วรู้สึกผิดปกติ แล้วแหกออกมาหาอะไรที่ชอบ นั่นแหละชีวิตมันจะมีสีสัน
    แล้วหนูว่า ผู้ชายไทยก็เป็นนะ แต่เป็นรุ่นๆพ่ออะ แบบว่า ทำงานเลี้ยงลูกเมียจบแค่นั้น กูไม่สนใจว่าลูกเมียจะคิดอะไรยังไง เอาอารมณ์กูเป็นใหญ่ ,,, นั่นแหละพ่อหนูเลย แต่ตอนนี้แกดีขึ้นแล้ว 5555

    5555 นี่หนูวิจารณ์เพื่อนพี่แรงไปป่าวเนี่ยยย
    ขอโต้ดดค๊า

    ตอบลบ
  2. ไม่แรงหรอกจ้า

    คนเรามันก็มีหลายแบบแตกต่างกันไป สิ่งที่พี่พยายามจะบอกคือ เราต้องไม่เอาความเป็นตัวเราไปยัดเยียดให้คนอื่นอื่น

    บางทีเราคิดว่าแบบนี้ดี แต่มันอาจจะแค่ดีกับชีวิตเราก็ได้ มันอาจไม่ได้ดีกับชีวิตเค้า

    แต่อย่างไรก็ดี พี่ก็ยังเชื่อมั่นในชีวิตที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวังของใคร นอกจากตัวเราเองอยู่ดีจ้ะ

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ13 มีนาคม 2555 เวลา 08:19

    คิดๆๆๆมากไปอะป่าว

    ตอบลบ