สร้างมาจนถึงภาค 2 แล้วกับหนังที่ทำมาจากการ์ตูนผู้หญิงเรื่องนี้ ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภาค 2 เป็นเรื่องการตั้งท้องของนานะหวาน และการได้เดบิวท์งานครั้งแรกของวง Black Stone ที่มี นานะพังค์ เป็นนักร้องนำ นานะภาคนี้เปลี่ยนคนแสดงไปหลายคน โดยเฉพาะบทที่สำคัญต่อเรื่องที่สุดอย่าง บท โคมัตสึ นานะ ที่แต่เดิมแสดงโดย มิยาซากิ อาโออิ เปลี่ยนมาเป็น อิชิคาว่า ยูอิ ที่หลังจากดูหนังจนจบแล้ว รู้สึกว่าแม่นางยูอิ ช่างเหมาะกับการเป็นนานะหวานเสียเหลือเกิน
หนึ่ง-เพราะเธอตัวเล็กๆ น่ารักตามพิมพ์นิยมของผู้ชายญี่ปุ่น ทำให้เวลาเข้าคู่กับตัวละครโนบุที่ในภาคนี้ต้องตกลงเป็นแฟนกัน ฝ่ายชายค่อยดูสมกับเป็นแฟนเธอขึ้นมาหน่อย เพราะนานะหวานคนเก่าตัวสูงปรี๊ด และออกแนวล่ำบึกยังไงชอบกล พ่อโนบุเลยดูตัวเล็กไปในบัดดล
สอง-เพราะเธอสามารถแสดงความเป็นผู้หญิงที่ 'ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้' ของโคมัตสึ นานะ ออกมาได้อย่างดีมากๆ ในขณะที่มิยาซากิ ทำได้แค่แสดงเป็นเด็กผู้หญิงที่เอาแต่ใจตัวเองและขี้วีนเท่านั้น น่าเสียดายถ้าเธอมาตั้งแต่ภาคแรก คนดูจะได้ไม่ติดภาพรอยยิ้มอันสดใส และท่าทางการทำปากที่น่ารักน่าหยิกของมิยาซากิ แต่จะติดภาพปากบางๆ เหมือนกลีบกุหลาบแรกแย้มของเธอแทน
สำหรับคนที่เป็นคอการ์ตูนญี่ปุ่นและซีรีส์ญี่ปุ่น คงรู้กันดีว่าผู้หญิงในการ์ตูนและซีรีส์เหล่านั้น มักจะมีลักษณะที่เรียกกันว่า 'ฟูมฟาย' ซึ่งก็คือการแสดงอารมณ์อย่างฟุ่มเฟือยนั่นเอง เพราะไม่ว่าเธอจะโกรธ เศร้า ดีใจ ตื่นเต้น หรืออะไรก็ตาม เธอๆ ในนั้นจะไม่เก็บอารมณ์กันเลยแม้แต่น้อย และมันจะออกมาเป็นเช่นที่นานะหวานในภาค 2 นี้เป็นทุกประการ
และถ้าหากผู้หญิงทั่วโลกปรุงแต่งตัวเองให้สวยใสเพื่อผู้ชายแล้วละก็ ขอบอกว่าผู้หญิงในการ์ตูนและซีรีส์ญี่ปุ่นเป็นยิ่งกว่านั้นเสียอีก เพราะเธอจะฝากชีวิตทั้งชีวิตของเธอไว้ที่ผู้ชายเลยทีเดียว และพร้อมจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นอย่างที่ชายคนนั้นชอบ เช่น พร้อมที่จะแหกขี้ตาตื่นมาแต่เช้ามืดเพื่อมาทำข้าวกล่องสื่อรักไปให้ฝ่ายชายกินตอนพักเที่ยง และจะทำอย่างนี้ไม่ว่าจะอยู่ในวัยมัธยมหรือว่าล่วงเลยเข้าสู่วัยทำงานแล้วก็ตาม
มีอยู่ฉากหนึ่งที่ทาคุมิ หัวหน้าวง Trapnest ที่นานะหวานหลงรักและเผลอไปมีสัมพันธ์ด้วยจนตั้งท้อง พูดกับเธอว่า "เธอนี่ช่วยเหลือตัวเองๆ ไม่ได้จริงๆ เลยนะ อายุตั้ง 20 แล้วนะ ทำงานทำการก็ไม่มั่นคง พอเหงาเข้าหน่อยก็ตกเป็นของผู้ชายได้ง่ายๆ จนตั้งท้องขึ้นมา ถ้าพ่อแม่รู้คงเสียใจแย่" แล้วเขาก็ทำท่าเอ็นดูเธอดั่งเธอเป็นลูกกวางตัวน้อยๆ ที่ยอมศิโรราบให้กับนายพราน และยอมให้เขาตัดเอาเขาของมันไปประดับฝาผนังที่บ้านได้ แล้วต่อมานานะก็พร่ำบอกกับตัวเองว่า ทาคุมินั้นยอมรับในความเป็นคนไม่เอาไหนของเธอได้ และเข้าใจในความเป็นคนว่างเปล่าของเธอดี....
ที่จริงแล้วไม่รู้ว่านานะได้ฉุกคิดบ้างหรือเปล่าว่าที่เธอเห็นว่าทาคุมิเข้าอกเข้าใจเธอนั้น มันเป็นเพราะอะไรกันแน่ มันเป็นเพราะผู้หญิงหงิมๆ ติ๋มๆ ไม่ค่อยมีปากมีเสียงอย่างเธอ ดูแล้วมีแนวโน้มที่จะยอมตกเป็นเบี้ยล่างสามีแน่ๆ หรือเปล่า ทาคุมิคงคิดมาดีแล้วว่าถ้าเอายัยคนนี้เป็นเมีย เขาคงครอบงำเธอได้ง่ายๆ ยิ่งทาคุมิเป็นคนเจ้าชู้ด้วยแล้ว เมีย เซื่องๆ อย่างนานะ ย่อมไม่กล้าหือเขาแน่นอน หากเธอจับได้ว่าเขามีกิ๊ก.....
หากจะบอกว่าภาพลักษณ์และตัวตนของ โคมัตสึ นานะ เป็นมายาคติที่ผู้ชายญี่ปุ่น (และอาจจะอีกหลายๆ ประเทศ) โดยเฉพาะผู้ชายช่วงอายุระหว่าง 30-50 ปี อยากให้ผู้หญิงเป็น ก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะสำหรับชายชาวญี่ปุ่นแล้ว เมียคือคนที่มีหน้าที่ทำกับข้าวอร่อยๆ ให้เขากิน (การ์ตูนบางเรื่องถึงกับเขียนเรื่องทำนองว่า ผู้ชายคนหนึ่งเลือกแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง เพียงเพราะเธอทำกับข้าวเก่ง โดยไม่สนใจตัวตนด้านอื่นๆ ของเธอเลยแม้แต่น้อย) คอยอยู่แต่ที่บ้าน ทำงานบ้านไป ไม่ต้องออกไปหางานทำนอกบ้านหรอก เพราะชายชาวญี่ปุ่นรักที่จะทำงานหาเลี้ยงเมียมากกว่าชายชาติอื่นๆ อยู่แล้ว
เพราะผู้ชายญี่ปุ่นรุ่นเก่าไม่ค่อยยอมรับในความเก่งกาจของผู้หญิงเท่าไรนัก หาไม่แล้วนานะหวานรวมทั้งผู้หญิงทำงานในญี่ปุ่นส่วนใหญ่คงได้ทำงานอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน มากกว่าแค่งานชงน้ำชาและถ่ายเอกสาร แล้วจะเรียนสูงๆ ไปทำไมกันละนี่ (หากอยากรู้เรื่องจริงของสังคมผู้หญิงทำงานในญี่ปุ่น แนะนำให้ไปหา 'ตะลึงงันและสั่นไหว' มาอ่าน อันเป็นเรื่องของสาวฝรั่งที่ไปทำงานกับบริษัทญี่ปุ่น และก็ได้อึ้งกับระบบความคิดที่ว่า ผู้หญิงหากจะขึ้นเป็นใหญ่นั้นอย่าได้หวัง ถ่ายเอกสารต่อไปเถอะเธอ !!) และหลังจากนั้นเธอก็ต้องมีลูกน่ารักๆ ให้เขาเชยชม แค่นี้แหละชีวิต..... เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า ผู้หญิงตอนเด็กๆ ก็เป็นสมบัติของพ่อแม่ พอแต่งงานไปก็เป็นสมบัติของสามี และพอแก่ตัวก็เป็นสมบัติของลูกๆ....ชะตาชีวิตของโคมัตสึ นานะ ที่เราไม่ได้เห็นหลังจากหนังปิดม่านไปแล้ว ดูท่าจะเป็นเช่นคำกล่าวนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
และในขณะเดียวกันภาพลักษณ์ของโอซากิ นานะ หรือนานะพังค์ ที่ยอมเลิกกับคนรักเพื่อทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง ก็เป็นเหมือนสิ่งที่ผู้หญิงญี่ปุ่นยุคใหม่ต้องการจะเป็นนั่นเอง คือการทำตัวให้เข้มแข็งก็ได้และอ่อนแอก็ได้หากถึงคราวต้องทำ ไม่ได้เป็ันเฟมินิสท์จ๋าแบบยุคก่อนๆ การเป็นเฟมินิสท์ยุคใหม่แบบที่โอซากิ นานะเป็น ก็คือการกล้าจะทำในสิ่งที่ตัวเองรัก (เคยอ่านการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่ลูกชายบ่นถึงแม่ของตัว ว่าเอาแต่ใจอยากย้ายบ้านก็ย้าย แถมยังออกไปทำงานที่ตัวเองรักอีกต่างหาก คล้ายกับว่าสำหรับผู้หญิงญี่ปุ่นในอุดมคติแล้ว การทำสิ่งที่ตัวเองรัก ถือเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ เพราะเธอควรต้องถือครอบครัวเป็นสำคัญ) กล้าที่จะรักใครสักคน โดยไม่โลเลไปกับคำอ่อนหวานของผู้ชายง่ายๆ และเมื่อถึงคราวต้องเป็นนางร้ายเธอก็ทำได้ไม่ต้องคิดมาก....
มีอยู่ฉากหนึ่งที่นานะหวานคิดว่านานะพังค์กับโนบุนั้นอยากให้เธอเป็นสาวใสซื่อ ไร้เดียงสา แต่จริงๆ แล้วนั้น ทั้งนานะ พังค์ และโนบุอยากให้นานะหวานเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งต่างหาก เพราะเมื่อนานะพังค์รู้ว่าฮาจิของตัวเองตัดสินใจจะแต่งงานกับทาคุมิจริงๆ ก็เลยเตือนว่าอย่าไปหงอทาคุมิเชียวนะ ถ้าเขานอกใจเธอให้ตั๊นหน้าไปสองสามทีเลยนะ....นานะหวานก็ได้แต่ยิ้มรับ แต่แน่นอนถ้าเหตุการณ์ดังว่าเกิดขึ้นจริง เธอก็คงไม่ทำอย่างที่นานะพังค์แนะนำหรอก แต่รับประกันได้เลยว่านานะพังค์จะทำอย่างที่ตัวเองแนะนำฮาจิไปแน่นอน หากเร็นนอกใจเธอ
และนี่คงเป็นการคัดง้างกันระหว่างโลกสองใบของผู้หญิงญี่ปุ่นกระมัง ว่าการมีชีวิตแบบใดจะมีความสุขอันยั่งยืนมากกว่ากัน....โลกแห่งการทำตัวเป็นเกอิชาของสามี หรือโลกแห่งการทำตามใจตัวเอง
ถ้าตราบใดที่ยังมีดาราสาวผู้คิดว่าการโชว์เรือนร่างและของสงวนของตัวเองเป็นเรื่องสมควรทำ โดยไม่สนใจว่าผู้คนจะมองและปฏิบัติกับเธอราวกับเธอเป็นแค่วัตถุที่เขาวางไว้ให้ถ่ายรูปเท่านั้น ตราบนั้นผู้หญิงก็ยังคงจะต้องยอมเป็นสมบัติของใครๆ ไปอีกนานแสนนาน
จากคอลัมน์ สนามวิจารณ์ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2550
จากคอลัมน์ สนามวิจารณ์ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2550
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น