เคยคิดบ้างไหมว่า การต้องมีชีวิตอยู่ในโลกต่อไปเพียงลำพัง โดยปราศจากคนที่รักกันอยู่เคียงข้าง มันจะอ้างว้างและเดียวดายเพียงใด…..
หากวันหนึ่งพื้นที่ๆ ข้างกันในห้องนอน หรือที่นั่งฝั่งตรงข้ามบนโต๊ะอาหาร และในทุกๆ มุมของบ้าน ที่เคยมีคนอีกคนหนึ่งอยู่ตรงนั้นเสมอ และรอให้เราไปพบเจอ ในทุกๆ เช้าที่ลืมตาตื่นขึ้นมา มันกลับว่างเปล่า เหมือนอากาศที่เคยใช้หายใจร่วมกัน ถูกดูดหายไป เหลือไว้เพียงแค่รอยจางๆ ของคนที่จากไป
เท่านั้น…..สิ่งที่เราจะทำต่อไปหลังจากนั้นก็คือ....หลงวนเวียนอยู่กับอดีต และพยายามไขว่คว้ากลิ่นไอจางๆ ของคนที่จากไป หรือว่าเราจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า และพยายามมีชีวิตอยู่ให้ได้ ตามปกติ
เมื่อภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากตายจากไป ทิ้งให้ชายชราเจ้าของร้านขายของชำเล็กๆ ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปในช่วงบั้นปลายเพียงลำพัง ชายชราจึงหมดอาลัยตายอยากที่จะดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามปกติ เขาไม่ยอมทำกระทั่งเปิดประตูลูกกรงของร้านออกไปสู่โลกภายนอก แต่กลับปิดมันเอาไว้อยู่อย่างนั้น และขายของให้ลูกค้าผ่านทางลูกกรงเหล็กนั่นเอง...ประตูเหล็กของร้านก็เปรียบเสมือนหัวใจที่ปิดตายของชายชรา ที่เฝ้าแต่คิดวนเวียนว่า ตัวเองคงจะไม่มีวันได้พบเจอกับความสุข และความรักที่แสนอบอุ่นแบบที่ได้จากภรรยาอีกแล้วในชีวิตที่เหลืออยู่นี้
กระทั่งวันหนึ่งลูกชายคนเดียวของเขามาเยี่ยม และอยู่กินข้าวด้วย เมื่อลูกชายเห็นความหมดอาลัยตายอยากของพ่อแล้ว ก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา เพราะดูเหมือนว่าพ่อของเขายังไม่สามารถทำใจยอมรับได้ว่าแม่ตายจากไปแล้ว เพราะพ่อของเขายังคงทำกับข้าวเผื่อแม่ และยังคงตักข้าวพร้อมกับข้าวที่แม่ชอบมาวางไว้ตรงที่ที่แม่เคยนั่งกินข้าวอยู่เสมอ เหมือนกับว่าที่นั่งข้างๆ พ่อนั้น ยังคงมีแม่นั่งร่วมกินข้าวอยู่ด้วยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เขาจึงเตือนพ่อด้วยความเป็นห่วงว่า “แม่ตายไปแล้วนะพ่อ... ต่อไปนี้พ่อต้องดูแลตัวเองแล้วนะ” แต่นั่นดูเหมือนจะเป็นความจริงที่พ่อของเขาไม่อยากรับรู้ ประตูของชายชราปิดใส่หน้าลูกชายทันที เหมือนประตูร้านชำของชายชราที่ไม่เคยเปิดออกสู่โลกภายนอกอีกเลย ชายชราทำสีหน้าเจ็บปวดอยู่แว่บหนึ่ง แล้วลุกขึ้นจากโต๊ะกินข้าวทันที ทั้งที่ยังกินข้าวไม่เสร็จ
ด้วยเหตุนี้กับข้าวของสองพ่อลูกจึงเหลือ ชายชราเลยเทกับข้าวที่เขาทำอย่างสุดฝีมือ ลงไปในตลับข้าวใบที่เคยใส่ข้าวไปให้ภรรยากิน เมื่อครั้งที่เธอยังมีชีวิตอยู่ และพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ตลับข้าวนั้น ชายชราตั้งใจให้ลูกชายนำไปฝาก “เทเรซ่า” หญิงตาบอดและหูหนวกวัยกลางคนผู้หนึ่ง ที่ลูกชายของเขาบอกว่า กำลังช่วยแปลหนังสืออัตชีวประวัติจากภาษาอังกฤษที่เธอเขียน มาเป็นภาษาจีนให้ ซึ่งหนังสืออัตชีวประวัติที่ว่านี้ ลูกชายได้นำฉบับสำเนาติดมือมาให้พ่ออ่านด้วย เพราะคิดว่ามันน่าจะจุดประกายอะไรให้กับพ่อของตนได้บ้าง... มันเป็นอัตชีวประวัติของหญิงพิการซ้ำซ้อนคนหนึ่ง ที่ยังสามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้เหมือนคนปกติทั่วไป เพราะเธออุทิศตนเป็นครูให้กับเด็กๆ ที่พิการซ้ำซ้อนเช่นเดียวกับเธอ “เทเรซ่า" มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ โดยอยู่กับความคิดที่ว่าเธอยังสามารถทำอะไรให้ผู้อื่นได้อีกบ้าง และไม่ได้มัวแต่เสียเวลาดีๆ อันมีค่าเหล่านั้น ไปกับการก่นด่าโชคชะตาของตัวเองที่เกิดมามีร่างกายไม่ปกติเหมือนคนอื่น
ตอนแรกชายชราไม่ยอมหยิบสำเนาอัตชีวประวัตินั้นขึ้นมาอ่านเลย เขาได้แต่วางมันทิ้งไว้บนหลังตู้.... แต่แล้วใครคนหนึ่งก็ดลใจให้เขาต้องหยิบมันขึ้นมาอ่านจนได้ และจากที่แค่หยิบขึ้นมาพลิกๆ ดูแบบแกนๆ ชายชราก็วางมันไม่ลงอีกเลย เมื่อเขาได้ลองอ่านไปสักสองสามหน้า และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หม้อไห กระทะกระทิงใบเก่าที่เคยใช้ทำกับข้าวแบบครบชุดให้ภรรยากิน ก็ถูกหยิบลงมาใช้อีกครั้ง ชายชราตื่นแต่เช้าไปตลาด เลือกซื้อปลา เลือกซื้อผัก และหมูเห็ดเป็ดไก่ เพื่อนำมันกลับมาทำเป็นอาหารเลิศรสใส่ปิ่นโตเถาเดิมของภรรยา แล้วรอเวลาลูกชายแวะมาเอาปิ่นโตเถานั้นเดินทางไปหา “เทเรซ่า” ที่กินอาหารจากปิ่นโตนั้นอย่างเอร็ดอร่อย “พ่อผมทำอาหารเหล่านี้เพราะได้แรงบันดาลใจจากหนังสือของคุณ”
เมื่อชายชราได้อ่านอัตชีวประวัติของ “เทเรซ่า” เขาก็อยากจะทำอะไรดีๆ ให้คนอื่นบ้าง และเขารู้ดีว่าอาหารของตัวเองสามารถทำให้คนกินมีความสุขได้ขนาดไหน เพราะทั้งภรรยาและลูกชายต่างก็มีความสุขเสมอเมื่อได้กินอาหารของเขา ชายชราจึงอยากจะแบ่งปันความสุขเล็กๆ น้อยๆ นี้ให้กับ “เทเรซ่า” บ้าง.....และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ปิ่นโตของภรรยาเขาก็ไม่เคยว่างเปล่าอีกเลย พร้อมๆ กับที่ประตูเหล็กของร้านชำก็เริ่มเปิดกว้างพร้อมจะต้อนรับลูกค้าอีกครั้ง
และแล้วใครบางคนก็หมดห่วง เธอจากไปอย่างสงบได้เสียที.....
ความรักที่มั่นคงและแข็งแรง บางทีอาจไม่ใช่การต้องอยู่ด้วยกันชั่วกัลปาวสาน แต่มันอาจจะคือการที่เราสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปเพียงลำพัง โดยระลึกรู้อยู่เสมอว่าคนที่เรารักไม่ได้จากไปไหน แต่เขายังคงอยู่ในใจเราเสมอ และการที่เราพยายามใช้ชีวิตของเราไปตามปกติ แม้ในวันที่ไม่มีคนรักอยู่เคียงข้าง ย่อมทำให้คนที่เรารักไม่ต้องเป็นห่วง และเป็นกังวลกับเราอีก เพราะเขาย่อมไม่ปรารถนาให้การจากไปของเขา มาทำให้เราปิดกั้นตัวเองจากสิ่งดีงามรอบๆ ตัว และพรากรอยยิ้มอันสดใส ให้เลือนหายไปจากใบหน้าของเราอย่างแน่นอน
เมื่อ “เทเรซ่า” จบอัตชีวประวัติของเธอด้วยประโยคที่ว่า
“อยู่กับฉันเถิดที่รัก แล้วรอยยิ้มของฉันจะไม่จางหายไป”
ชายชราก็คงรับรู้ได้ว่า รอยยิ้มของเขาจะไม่มีวันจางหายไปอย่างแน่นอน เพราะภรรยาของเขายังคงอยู่ในใจเขาเสมอ...
/////////////////////////
"Be With Me" เป็นหนังสิงค์โปร์ปี 2005 ที่ได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างจากเสี้ยวหนึ่งของชีวิต ครูสาววัยกลางคน ผู้พิการทางสายตา และบกพร่องทางการได้ยินนามว่า
“เทเรซ่า จาง” หรือ “จางป๋อหลิน” ซึ่ง “เทเรซ่า” ได้มาแสดงเป็นตัวเธอเองในหนังเรื่องนี้ด้วย....
หนังดราม่านิ่งๆ เรื่องนี้ได้รับการยืนขึ้นปรบมือให้อย่างยาวนานถึง 5 นาที จากผู้ชม ในการฉายโชว์จากการเข้าประกวดในงานเทศกาลหนังเมืองคานส์ ปี 2005 โดยหนังได้รับคัดเลือกให้เข้าประกวดในสายของสมาคมผู้กำกับ
นอกจากตอน “Meant to Be” ของชายชราเจ้าของร้านขายของชำแล้ว ยังมีตอนอื่นๆ อีก 2 ตอนประกอบอยู่ในหนังเรื่องนี้ด้วย
*************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น