


จากคอลัมน์ สนามวิจารณ์ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2550
หากพูดถึงหนังเกย์ขึ้นมา หนังเกย์สัญชาติไต้หวันจะถูกนึกถึงก่อนเป็นอันดับแรกๆ เพราะถ้าวัดกันในแถบเอเชียแล้ว ไต้หวันเป็นประเทศที่ทำหนังเกย์ได้ดีที่สุด (แถมยังผลิตหนังเกย์ออกมาให้คนดูอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ไม่ใช่มาเป็นพักๆ แบบหนังเกย์บ้านเรา) ที่สำคัญหนังเกย์ไต้หวัน มีหลากหลายแนวให้เลือกดู ทั้งโรแมนติก คอมเมดี้ ทั้งชีวิต เครียดขรึม และหนังแบบ coming of age ของคนเป็นเกย์...อย่างง ว่าทำไมมาชวนคุยเรื่องหนังเกย์ มันน่าสนใจตรงไหน นอกจากผู้ชายรักกัน...มันน่าสนใจแน่นอน เพราะหนังเกย์มันมีแง่มุมขัดแย้งของมนุษย์อยู่สูงมาก และน่าศึกษาเป็นที่สุด
เรื่องที่อยากแนะนำ และภูมิใจนำเสนอมากๆ คือ “Eternal Summer” ที่เคยฉายในโรงหนังบ้านเราไปเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งถ้าหากใครเคยประทับใจกับบทอัศจรรย์ในเต็นท์กลางป่า กลางเขาจากหนังเกย์คาวบอย “Brokeback Mountain” ของ "อั้งลี่" รับรองว่าจะต้องอึ้ง ทึ่ง เสียว มากกว่า กับบทอัศจรรย์ของคู่พระเอก - นายเอก ในเรื่องนี้
หนังเริ่มเปิดเรื่องในตอนที่ คังเจิ้งฉิง (นายเอก) ในวัยประถม บอกกับตัวเองเมื่อเค้าเห็น หยูโฉ่วเหิง (พระเอก) เพื่อนร่วมชั้นสุดเกเร ที่ชอบแกล้งคนอื่น ว่า ‘เพียงแค่ฉันเห็นนาย ฉันก็รู้แล้วว่านายเป็นคนที่พิเศษ’ แล้วจากนั้นมา เค้าก็เฝ้ามองเพื่อนร่วมชั้นคนนี้อยู่ตลอดเวลาไม่วางตา จนกระทั่ง เจิ้งฉิง ถูกครูประจำชั้นขอร้องให้ช่วยเป็น “เทวดาตัวน้อย” คอยคุ้มครอง โฉ่วเหิง
เนื่องมาจากหมอบอกว่า โฉ่วเหิง เป็นโรคสมาธิสั้น อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เค้าชอบแกล้งเพื่อนอยู่ตลอดเวลา และวิธีที่จะช่วยปรับพฤติกรรมของเค้าได้ ก็คือให้โฉ่วเหิง ได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ ได้เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น....แม้ตอนแรกที่ได้ยินครูขอร้องอย่างนั้น เจิ้งฉิง จะทำหน้าอึ้งๆ เหมือนไม่ค่อยเต็มใจ ทว่าตั้งแต่นั้นเค้าก็ทำหน้าที่เป็น “เทวดาตัวน้อย” ให้ โฉ่วเหิง ตลอดมา จนกระทั่งทั้งคู่เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา และเรียนด้วยกันในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งเมื่อโตเป็นหนุ่ม โฉ่วเหิง ที่เคยเกเร และไม่มีใครอยากคบด้วย กลับกลายเป็นดาวของโรงเรียน เพราะเค้าเล่นบาสเกตบอลเก่งมากๆ จนกระทั่งมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเสนอจะมอบทุนนักกีฬาให้แก่เค้า ขณะที่ เจิ้งฉิง นั้นสนอกสนใจอยู่กับการทำหนังสือพิมพ์ของโรงเรียน ที่ซึ่งทำให้เค้าได้พบกับ ฮุ่ยเจีย สาวน้อยที่เพิ่งย้ายมาจากฮ่องกง และมีปัญหาครอบครัวแตกแยก.....ฮุ่ยเจีย นั้นประทับใจ เจิ้งฉิง ที่อ่อนโยน และคอยเอาใจใส่ดูแลเธออยู่ตลอดเวลา จนกระทั้งวันหนึ่ง ทั้งคู่โดดเรียนไปเที่ยวไทเปด้วยกัน และเข้าพักในเลิฟโฮเต็ลแห่งหนึ่ง......
และในเลิฟโฮเต็ลแห่งนั้นนั่นเอง เจิ้งฉิง และ ฮุ่ยเจีย เกือบจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน แต่เป็น เจิ้งฉิง ที่ถอนตัวออกมาก่อน ทิ้ง ฮุ่ยเจีย ให้ตกอยู่ในความงุนงง สับสน ไม่เข้าใจว่า เจิ้งฉิง เป็นอะไรไป จนกระทั่งทั้งคู่เจอกันที่โรงเรียนในวันต่อๆ มา ฮุ่ยเจีย ก็ค่อยๆ รับรู้ได้ว่า ที่แท้แล้ว คนที่ เจิ้งฉิง หลงรัก ก็คือ โฉ่วเหิง นั่นเอง !
เจิ้งฉิง หมกหมุ่นและสับสนในความรู้สึกของตัวเองอยู่เกือบตลอดทั้งเรื่อง ส่วน โฉ่วเหิง ก็ได้แต่งง ที่เห็นเพื่อนรักพยายามตีตัวออกห่าง ซึ่งแรกๆ เค้าคิดว่า เจิ้งฉิง โกรธที่เค้าหันไปคบกับ ฮุ่ยเจีย ที่เค้าเข้าใจเอาเองว่า เธอเป็นแฟนเก่าของ เจิ้งฉิง.....และขณะที่อีกคนพยายามผลักไสให้ออกห่าง แต่อีกคนกลับพยายามฉุดรั้งให้เข้ามาใกล้ ในที่สุดความสัมพันธ์ของพวกเค้าก็มาถึงจุดแตกหัก และไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมอีกต่อไป.....
โดยส่วนตัวคิดว่า “Eternal Summer” สวยงามกว่า “Brokeback Mountain” ตรงที่มันมีอะไรมากกว่าแค่ความเหงาชั่ววูบ ที่นำพาไปสู่ความสัมพันธ์อันล้ำลึกที่ยากจะลืม แบบที่เป็นไปใน Brokeback ....และนอกจากจะไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบแล้ว ความรักใน “Eternal Summer” ยังค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาผ่านกาลเวลา และผ่านการบ่มเพาะอยู่ในขวดแก้วบางๆ เหมือนเชื้อรา ที่แพร่ขยายและสานสายใยเกาะเกี่ยวกันเอาไว้ จนกระทั่งไม่มีใครสามารถมีชีวิตอยู่ได้ โดยที่ขาดอีกคนหนึ่งไป.....
หนังจบไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก เพราะมันทิ้งอะไรไว้ให้เราตีความมากมาย แต่เรื่องที่ทิ้งไว้ให้ตีความนั้น ก็ไม่ได้ยากเย็นจนเกินเข้าใจ เพราะขอเพียงแค่เราเคยรักใครสักคนอย่างจริงใจ และล้ำลึกมากพอ เราก็จะเข้าใจความรักที่ เจิ้งฉิง มีต่อ โฉ่วเหิง...ความรักที่ โฉ่วเหิง มีต่อ เจิ้งฉิง และ ฮุ่ยเจีย รวมทั้งความรักที่ ฮุ่ยเจีย มีต่อ เจิ้งฉิง ด้วย
และขอบอกเพิ่มเติมด้วยว่า "หนังเกย์" นั้น ไม่ใช่เกย์ก็ดูได้ และเชื่อเถอะว่าดูแล้วจะ "ได้" อะไรกลับมาแน่ๆ
นางสาว “เพเนโลปี้ วิลเฮิร์นส” เป็นสาวน้อยที่เกิดมาในตระกูลผู้ดีมีเงิน แต่ดันโชคร้ายมีจมูกเหมือนหมู เพราะต้องคำสาปจากนางแม่มดเฒ่า ผู้โกรธแค้นบรรพบุรุษตระกูล “วิลเฮิร์นส”ของเธอที่มาผูกสัมพันธ์รักใคร่กับลูกสาวของนางซึ่งเป็นสาวใช้ในบ้าน “วิลเฮิร์นส” และประกาศจะแต่งงานกับสาวใช้ผู้นั้น แต่สุดท้ายเพราะความแตกต่างทางด้านชนชั้น เขาจึงต้องทอดทิ้งลูกสาวของนางแม่มด แล้วไปแต่งงานกับหญิงสาวที่มีฐานะทัดเทียมกันแทน ทำให้ลูกสาวของนางแม่มดเสียใจจนถึงกับฆ่าตัวตายประชดความรักที่ไม่สมหวัง ด้วยเหตุนี้นางแม่มดจึงสาปแช่งให้คนตระกูล “วิลเฮิร์นส” ต้องพบกับความเจ็บปวดเสียบ้าง นางสาปว่า เมื่อใดก็ตามที่คนในตระกูลนี้ให้กำเนิดลูกสาวออกมา ขอให้ลูกสาวของตระกูล “วิลเฮิร์นส” มีใบหน้าเป็นหมูน่าเกลียด น่าชัง และจะแก้คำสาปนี้ได้ก็ต่อเมื่อ มีคนที่ฐานะเท่าเทียมกันกับเธอมารักเธอเท่านั้น
และนับว่าเป็นโชคดีของตระกูล “วิลเฮิร์นส” ที่พวกเขาให้กำเนิดแต่ลูกชายมาตลอดห้าชั่วอายุคนที่ผ่านมา จึงรอดพ้นจากคำสาปของนางแม่มดเฒ่ามาได้ กระทั่งมาถึงคนรุ่นที่ 6 ของตระกูล พวกเขาก็ให้กำเนิดลูกสาวออกมาจนได้ และแน่นอนว่าในที่สุดคำสาปก็ได้ทำหน้าที่ของมันเสียที เพราะทารกน้อยที่ออกมาจากท้องของมารดานั้น มีหน้าตาไม่ต่างอะไรกับหมูอู๊ดๆ ที่อยู่ในเล้าเลยแม้แต่น้อย เล่นเอา “เจสสิก้า” ผู้เป็นแม่ที่แม้จะรู้อยู่แล้วว่าหากลูกของตัวเองเกิดมาเป็นหญิง จะต้องมีหน้าตาเป็นยังไง ก็ยังมิวายที่จะแหกปากร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
และทันทีที่ผู้เป็นแม่พักฟื้นจากการคลอดลูกจนแข็งแรงขึ้นแล้ว เธอก็รีบหอบลูกไปหาศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที เผื่อว่าหมอจะพอหาทางผ่าตัดศัลยกรรมจมูกที่ย่นและยกรั้งขึ้นเหมือนหมูนั้นออกไปได้ และมอบใบหน้าใหม่ที่สวยงามให้กับลูกสาวของเธอแทน แต่เมื่อหมอเอ็กซเรย์ใบหน้าของเด็กน้อยออกมาดูแล้ว ปรากฏว่าจมูกหมูนั้นมีเส้นเลือดสำคัญๆ เชื่อมโยงกันอยู่เต็มไปหมด มันไม่ใช่เพียงหน้ากากหมูที่สวมในวันฮัลโลวีนที่นึกจะถอดออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ สามีภรรยา “วิลเฮิร์นส” เลยจำต้องยอมรับสภาพความขี้ริ้วขี้เหร่ของลูกสาวตัวเอง และตั้งชื่อให้เด็กน้อยว่า “เพเนโลปี้”เพราะความผิดปกติของใบหน้านี่เอง หนูน้อย “เพเนโลปี้” เลยถูกเลี้ยงมาให้เติบโตอยู่แต่ในบ้าน ไม่เคยได้ออกไปวิ่งเล่นท่ามกลางแสงแดดข้างนอกบ้านตามประสาเด็กวัยกำลังซนเลย เพราะ “เจสสิก้า” แม่ของเธอหวั่นเกรงว่าลูกสาวจะถูกเด็กคนอื่นแกล้ง และล้อเลียน “เจสสิก้า” วิตกกังวลมากจนถึงกับต้องแกล้งทำเป็นฝังและเผาโลงศพเปล่าๆ ของลูก เพียงเพื่อลวงให้สื่อมวลชนกระหายเลือดที่จ้องจะเปิดโปงเรื่องน่าอายของตระกูลผู้ดี หลงเชื่อว่าลูกสาวผู้แปลกประหลาดของตระกูล “วิลเฮิร์นส” ได้ตายไปแล้ว
และเมื่อ “เพเนโลปี้” เติบโตเป็นสาวสะพรั่ง ผู้เป็นแม่ก็ได้พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหาคู่ที่มีฐานะเท่าเทียมกันมาแต่งงานกับลูกสาวให้ได้ เพื่อจะได้ลบล้างคำสาปดึกดำบรรพ์นั่นไปซะ และคืนใบหน้าสวยสดใสให้กับ “เพเนโลปี้” เสียที ปฏิบัติการตามล่าหาหนุ่มหล่อตระกูลผู้ดีจึงเริ่มขึ้น ชายหนุ่มเกรดเอคนแล้วคนเล่าถูกเชิญให้มาพูดคุยกับ “เพเนโลปี้” ในห้องที่ติดกระจกเงาบานใหญ่เอาไว้ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วกระจกเงาบานนั้น คือกระจกสองด้าน ที่ชายหนุ่มในห้องจะมองไม่เห็นเลยว่า “เพเนโลปี้” ที่พวกเขาคุยด้วย กำลังนั่งมองกิริยาท่าทางของพวกเขาอยู่หลังกระจกบานนั้นนั่นเอง
และเมื่อการพูดคุยดำเนินไปได้สักระยะหนึ่ง “เพเนโลปี้” ก็จะเดินออกมาจากห้องลับของเธอ เพื่อให้ชายหนุ่มที่คุยด้วยได้ยลโฉม ซึ่งเมื่อพิธีการดูตัวดำเนินมาถึงขั้นตอนนี้ ทุกๆ คนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ของเธอ พ่อบ้านผู้ดูแลครอบครัวเธอมานานแสนนาน และแม่สื่อผู้พยายามอย่างที่สุดที่จะหาคู่ดีๆ มาให้เธอ ต่างก็นั่งลุ้นกันตัวเกร็งอยู่หน้าโทรทัศน์วงจรปิด ว่าชายหนุ่มรายนี้จะวิ่งหนีป่าราบออกไปอีกรึเปล่า เมื่อได้เห็นใบหน้าแบบ “หมูๆ” ของนางสาว “เพเนโลปี้”....และความเป็นจริงก็คือ ไม่มีหนุ่มคนไหนที่ไม่วิ่งหนีออกไปเลย เมื่อได้เห็นหน้าเธอ!!
การโดนปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่านี่เอง ที่สั่นคลอนโลกใบเล็กๆ ของ “เพเนโลปี้” โลกที่แม่ของเธอสร้างให้ และจับเธอยัดเข้าไปในนั้น... โลกที่แม่ของเธอเฝ้าแต่ฝันว่า สักวันคงจะมีผู้ชายดีๆ มารัก “เพเนโลปี้” แม้ว่าเธอจะมีหน้าตาเหมือนหมูก็ตาม...แต่ “เจสสิก้า” ผู้เป็นแม่ไม่ได้รู้เลยว่า การโดนปฏิเสธจากใครก็ไม่สร้างความเจ็บปวดให้กับ “เพเนโลปี้” เท่ากับที่โดนแม่แท้ๆ ของตัวเองปฏิเสธ...เพราะ “เจสสิก้า” นั้นเฝ้าแต่ย้ำคิดย้ำทำว่าลูกของตัวเองไม่สวย ลูกของตัวเองผิดปกติ สมควรจะถูกเก็บไว้แต่ในบ้านเท่านั้น และคงไม่มีวันจะพ้นจากอ้อมอกของเธอไปได้ เพราะลูกทำอะไรไม่เป็นแต่สุดท้ายด้วยแรงฮึดที่อยากจะออกไปจากกรงทอง ออกไปเจอโลกภายนอกกับเค้าบ้าง... “เพเนโลปี้” ก็ตัดสินใจขโมยเครดิตการ์ดของแม่ แล้วแอบหนีออกจากบ้านมาตอนกลางดึก และทันทีที่เธอเปิดประตูรั้วบ้านที่กั้นเธอไว้จากโลกภายนอก ออกไปสู่ถนนอันคลาคล่ำในยามราตรี ความสวยงามตระการตาของเมืองใหญ่ก็ทำให้เธอถึงกับตะลึงงัน!!! โลกภายนอกไม่เห็นจะน่ากลัวเหมือนที่แม่บอกเลยนี่นา!!!
การตัดสินใจหนีออกจากบ้านเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น เพราะในที่สุดหญิงสาววัย 25 ปี ที่ซ่อนตัวอยู่ในโลกของตัวเองมานานแสนนาน ก็เปิดเผยตัวเองต่อผู้คนและสังคมจนได้ การเปิดเผยตัวเองในครั้งนี้ ทำให้เธอไม่ต้องลำบากลำบนปิดบังหน้าตาอีกต่อไป เธอสามารถเดินไปไหนๆ ก็ได้ ทำอะไรก็ได้ และไม่มีใครกล้ามาล้อเลียนเธอเลยสักคน เพราะ
“เพเนโลปี้” ไม่เคยทำตัวให้คนอื่นรู้สึกว่า เธอ “แปลกประหลาดและน่าสมเพช”.... ที่สำคัญคือการที่ “เพเนโลปี้” กล้าเปิดเผยตัวเองให้โลกได้เห็น ก็เท่ากับเป็นการยอมรับตัวเองอย่างที่ตัวเองเป็น เพราะถ้าตัวของตัวเองไม่คิดว่าตัวเองแปลกประหลาดแล้วล่ะก็ คนอื่นก็จะไม่สนใจมัน และมองข้ามมันไปเหมือนกัน
และเพราะ “เพเนโลปี้” ยอมรับตัวตนของตัวเองได้ เธอจึงชอบที่ตัวเองมีจมูกหมูแบบนั้น และไม่เคยคิดที่จะหาชายสูงศักดิ์คนใดมาแก้คำสาปให้เธอเลย ด้วยเหตุนี้เธอจึงวิ่งหนีออกมาจากงานแต่งงานของตัวเองกับหนุ่มหล่อตระกูลผู้ดีที่นิสัยยอดแย่ และทะเลาะกับ“เจสสิก้า” ผู้เป็นแม่ที่ยังคงหวังจะให้ลูกสาวพ้นจากคำสาปเสียที และยังคงไม่ยอมรับตัวตนของลูกสาวตัวเองอยู่ดี.... สุดท้ายเมื่อแม่ดึงดันมากๆ เข้า “เพเนโลปี้” เลยตะโกนออกมาอย่างเหลืออดว่า “ก็หนูชอบที่เป็นแบบนี้!!!”
พลันที่สิ้นประโยคนั้น คำสาปก็ถูกลบล้างลงไปในทันใด!!!!
ที่แท้วิธีการแก้คำสาปก็แค่ง่ายๆ....แค่ยอมรับตัวเอง และรักตัวเองอย่างที่ตัวเองเป็นก็พอ นั่นก็เท่ากับเป็นการทำให้ทุกคนเท่าเทียมกันได้ในอีกความหมายหนึ่งของนางแม่มดนั่นเอง....ถ้าเราคิดว่าเราปกติ เราก็ปกติ แต่เมื่อใดที่เราคิดว่าเราไม่ปกติ เราก็จะไม่ปกติ.....
ที่แท้คำสาปชั่วร้ายใดๆ ก็จะไม่มีผลกับจิตใจ และชีวิตของเรา หากเราไม่ใส่ใจมันเสียตั้งแต่แรก...
* * * * * * * * * * * * * *
แม้ว่า Penelope จะเป็นหนังที่เคยเข้ามาฉายในบ้านเราเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งทุกคนก็น่าจะรู้จักกันดี แต่ก็ยังอยากจะหยิบมาเขียนถึงอยู่ดี เพราะกำลังรู้สึกสนใจประเด็นการยอมรับตนเองของเด็ก และการที่พ่อแม่พร่ำบอกลูกว่าเค้าไม่ดีอย่างนั้น อย่างนี้ มันจะมีผลต่อการดำเนินชีวิต และจิตใจของเด็กยังไงบ้าง หนังเรื่องนี้อาจจะชี้ประเด็นที่ว่าเบาไปนิด เพราะมันคือหนังรักโรแมนติคที่เดินตามสูตร แต่ก็ยังมีอะไรหลงเหลือไว้ให้คนที่เป็นพ่อแม่ และคนที่เป็นลูกได้คิดค่ะ นอกเหนือไปจากเรื่องราวความรักแบบหนุ่มสาว
และนั่นเองที่ทำให้ “วาระ” ได้พบกับคำตอบที่ว่า ทำไมเธอถึงรู้สึกดีขึ้นมา เมื่อมองไปยังผ้าพันแผลที่ “ดิโนะ” เอาไปผูกไว้กับราวระเบียงบนดาดฟ้าของโรงพยาบาลเมื่อคราวก่อน.....เธอเข้าใจแล้วว่า การที่ผ้าพันแผลนั้นถูกผูกโดยใครสักคนที่เข้าใจถึงความเจ็บปวดของคนอื่นอย่างแท้จริง เสมือนว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง และไม่มองเห็นความเจ็บปวดของคนอื่นเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยขี้ปะติ๋ว มันก็จะทำให้บาดแผลนั้นๆ ได้รับการเยียวยารักษาด้วยมือที่มองไม่เห็น มือของคนที่ใส่ใจ มือที่คนที่มีบาดแผลในใจทุกคนรอคอย....มันคือ “มือของความเข้าใจ” นั่นเอง
หนังดราม่านิ่งๆ เรื่องนี้ได้รับการยืนขึ้นปรบมือให้อย่างยาวนานถึง 5 นาที จากผู้ชม ในการฉายโชว์จากการเข้าประกวดในงานเทศกาลหนังเมืองคานส์ ปี 2005 โดยหนังได้รับคัดเลือกให้เข้าประกวดในสายของสมาคมผู้กำกับ
เมื่อเท้าน้อยๆ ของลูกวางอยู่บนฝ่ามือของแม่ มันคือพันธะสัญญาที่คนเป็นแม่จะรับรู้ได้เองโดยอัตโนมัติ ว่านี่คือชีวิตน้อยๆ ที่ตนเองจะต้องดูแล และทะนุถนอมไปตลอดตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจอยู่.....และแน่นอนว่าดวงจิตอันบริสุทธ์ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ของผู้เป็นลูก ก็ย่อมรับรู้ได้ด้วยเช่นเดียวกันว่า “มืออันแข็งแรงแต่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนนี้ จะคอยปกป้องดูแลเขาตลอดไป”....
และด้วยเหตุนี้เองมนุษย์จึงโหยหาอ้อมกอดที่อบอุ่นดั่งครรภ์มารดาอยู่เสมอ และมักนึกถึงผู้เป็นแม่ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เมื่อยามที่รู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะด้วยพันธะสัญญาที่ว่านั้น ลูกย่อมรู้ดีว่า ถ้าแม่สามารถมาปกป้องตนเองได้ แม่ก็จะต้องทำอย่างแน่นอน....แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม
เพล้ง !!!!!!
เมื่อวัตถุหนักทึบอย่างก้อนหินลอยไปปะทะกับกระจกหน้าของรถยนต์ที่กำลังวิ่งสวนมาอย่างรวดเร็ว หินก้อนนั้นก็พุ่งทะลุเข้าไปในตัวรถ แล้วกระแทกเข้ากับศีรษะของคนขับอย่างแรงประหนึ่งปั้นจั่นยักษ์ที่เหวี่ยงเข้าใส่ตึกร้าง เพื่อทุบทำลาย.... เด็กหนุ่มที่ขว้างหินก้อนนั้นรีบลงจากรถมอเตอร์ไซค์ที่เพื่อนขี่ เพื่อไปดูผลงานของตัวเอง และเพื่อฉกชิงทรัพย์สินของเหยื่อที่กำลังรอความตายอยู่ในรถ
แต่พลันที่สายตาของเขาปรับจนชินกับความมืดมิดของท้องถนนในยามค่ำคืน และมองเห็นรถเคราะห์ร้ายคันนั้นเต็มๆ สองตา ความคึกคะนองก่อนหน้าที่จะลงมือปฏิบัติการก็มลายหายไปจนหมดสิ้น สิ่งที่วิ่งเข้ามาแทนที่คือปั้นจั่นยักษ์อันเดียวกันกับที่เหวี่ยงกระแทกเข้าใส่ศีรษะของผู้เคราะห์ร้ายที่อยู่ตรงหน้า...
คนที่นั่งจมกองเลือดอยู่หลังพวงมาลัยรถคันนั้น คือ “พ่อ” ของเขาเอง !!!!!
แม้ภายนอกจะดูก้าวร้าว ดื้อดึงดัน และไม่ยอมใคร แต่แท้จริงแล้วข้างในใจของเป้กำลังคิดอะไรอยู่ แม้แต่ผู้เป็นแม่ก็ไม่เคยเข้าใจ และไม่เคยเข้าถึง เพราะเธอแยกทางกับพ่อของเป้ ไปอยู่กับสามีใหม่ตั้งนานแล้ว และทิ้งลูกชายไว้กับผู้เป็นพ่อตั้งแต่เขายังเล็ก เด็กชายเป้จึงโตขึ้นมากับคำพูดที่พ่อคอยฝังหัวเอาไว้ว่า “แม่แกมันร่าน ถึงได้หนีไปอยู่กับคนอื่น”
จากเด็กชายตัวน้อย ที่มีรอยยิ้มสดใสอยู่ในรูปถ่ายใบที่ผู้เป็นแม่เฝ้าถนอมไว้ในกรอบรูปสวยงาม ค่อยๆ กลายร่างเป็นคนแปลกหน้าของครอบครัว ที่ชิงชังแม่ตนเอง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังอยากได้ความรักจากแม่กลับคืนมา ให้เหมือนเมื่อครั้งที่ตัวเองยังคงเป็นเด็กเล็กๆ ทว่าแทนที่เป้จะแสดงออกให้แม่รู้ว่า เขาต้องการอ้อมกอดอันอบอุ่นของแม่มากแค่ไหน เขากลับสาดคำพูดที่เป็นคมมีดกรีดลงในใจของแม่ และในใจของเขาเอง
“แม่น่ะร่าน....พ่อบอกว่าแม่น่ะร่าน...แม่ไม่ได้ รั ก ผมหรอก !!”แม่ตบหน้าเป้ฉาดใหญ่ แต่แววตาของเธอเจ็บปวดมาก เพราะลูกชายสุดที่รักเพิ่งตัดพ้อว่าเธอไม่ได้รักเขา ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่จริงเลย แต่คนเป็นแม่ บางทีก็ใช่ว่าจะสื่อสารได้เข้าถึงใจลูกเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเธอเป็นคนทอดทิ้งเขาไปเอง และไม่เคยพยายามจะถมความว่างเปล่าในใจลูกให้เต็มเลยสักครั้ง กระทั่งมันสายเกินไป....
แม่จึงพยายามจะแก้ไขสิ่งผิดพลาดในครั้งนั้น ด้วยการพาเป้ไปบวชในวัดกลางป่า กลางเขาแห่งหนึ่งทางภาคใต้ เพื่อให้ลูกชายรอดพ้นจากเงื้อมมือกฎหมาย ไม่ต้องรับโทษทัณฑ์ ฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่แม่หารู้ไม่ว่า แม้มือของกฎหมายจะเอื้อมมาไม่ถึงตัวเป้ แต่มือของบางสิ่ง กำลังวิ่งไล่ตามเป้มาอย่างกระชั้นชิด และมันจะต้องตามหาเป้จนเจออย่างแน่นอน
เพราะสิ่งนั้นคือ.....
เ ว ร ก ร ร ม !!!!
เมื่อเณรเป้ถูกทิ้งให้อยู่ในวัดกลางป่า ที่รกเรื้อและเต็มไปด้วยเงามืดทุกทิศทุกทาง ความรู้สึกผิดบาปที่เฝ้ากัดกินใจของเขา และแรงเหวี่ยงจากปั้นจั่นยักษ์ในคืนที่พ่อตาย ยังคงส่งผลรุนแรงอยู่เสมอ ทุกๆ ครั้งที่เขาหลับตา น้ำหนักของก้อนหินในมือ แรงเหวี่ยงของหัวไหล่ ความรู้สึกเมื่อก้อนหินปะทะเข้ากับกระแสลมแรง และเสียงแตกดังเพล้งของกระจกหน้ารถของพ่อ ทุกๆ อย่างยังคงไหลย้อนกลับคืนมาเสมอ และเสมอ
เณรเป้จึงร่ำๆ จะหนีออกจากวัดป่าแห่งนั้นอยู่หลายครั้ง เพราะนอกจากจะกลัวความผิดบาปที่ตามหลอกหลอนอยู่เสมอๆ แล้ว เขายังรู้สึกว่าที่นั่นมีอะไรแปลกๆ ที่มองไม่เห็นอีกด้วย ทั้งตำนานเปรต และพิธีชิงเปรตของคนในท้องถิ่น ทำให้ต้องมี “หลาวชะโอน” (เสาสูงจนแหงนมองคอตั้งบ่า ที่ด้านบนทำเป็นที่วางอาหารและขนมลา เอาไว้เซ่นไหว้ผีเปรตในวันสารทเดือนสิบของภาคใต้) ตั้งอยู่กลางทางเดินใต้ชะง่อนผา ซึ่งจู่ๆ กลางดึกสงัดคืนหนึ่ง เมื่อเณรเป้ออกมาเดินท่อมๆ หาของกิน “หลาวชะโอน” สูงชะลูดนั้นก็หักโค่นลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สร้างความตกใจให้แก่เณรเป้เป็นอันมาก และมันดูเหมือนจะเป็นลางบอกเหตุของอะไรบางอย่าง
แต่เมื่อใดก็ตามที่เณรเป้คิดหนี พระหนุ่มเงียบขรึมรูปหนึ่ง ก็จะต้องเป็นผู้มาพบเขา และพากลับไปยังกุฏิทุกครั้งไป โดยครั้งสุดท้ายที่เณรเป้ถูกพากลับมา พระหนุ่มรูปนั้นพาเณรเป้ไปยังถ้ำแห่งหนึ่งที่พระในวัดเอาไว้ใช้เป็นสถานที่ปลงอาบัติ และก่อนที่พระหนุ่มจะปล่อยเณรเป้ไว้ตามลำพัง ท่านก็ได้ส่งหนังสือสวดมนต์ให้เณรเป้เล่มหนึ่ง และหน้าปกของหนังสือสวดมนต์เล่มนั้นก็เขียนไว้ว่า
“อุณหิสวิชัยคาถา” หรือ “คาถาต่อดวงชะตา” นั่นเอง !!!!
เพราะพระหนุ่มรูปนั้น และท่านเจ้าอาวาส รู้ได้ด้วยญาณของท่านว่า บัดนี้ เณรเป้ชะตาชีวิตได้ขาดลงเสียแล้ว และถ้าหากไม่ทำพิธีสืบชะตาให้ภายในคืนนั้น เจ้ากรรมนายเวรของเณรจะต้องมาตามเอาคืนอย่างแน่นอน เนื่องด้วยกรรมของเณรนั้นหนักหนาสาหัสนัก ทั้งฆ่าพ่อ ด่าแม่ ขโมยของ ทำร้ายผู้อื่น และผิดศีล....
แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครหนีเวรกรรมของตัวเองพ้น เมื่อเณรเป้ถูกก้อนหินที่เขาปาเข้าใส่พุ่มไม้ สะท้อนกลับมาโดนตัวเอง ด้วยแรงเหวี่ยงที่มากกว่าเดิมเป็นสิบๆ เท่า จนใบหน้าที่เคยหล่อเหลา แหลกเหลวจนดูเหมือนก้อนเนื้อที่ใกล้เน่า !!!! เณรเป้ที่เคยเก่งกล้า และคึกคะนองไม่รู้จักคิด ได้แต่นอนร้องโอดโอย ดิ้นพราดๆ ด้วยความเจ็บปวดอยู่บนพื้น พร้อมๆ กับเริ่มรับรู้ถึงความเจ็บปวดของเหยื่อทั้งหลายที่เคยถูกเขาปาหินเข้าใส่รถ....มันเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสอย่างนี้นี่เอง... ไม่เจอกับตัวไม่มีวันเข้าใจ
และในห้วงเวลาก่อนที่เปลวเทียนแห่งชีวิตจะดับลง เณรเป้ก็หยิบโทรศัพท์ที่พ่อทิ้งไว้ก่อนตาย ขึ้นมาโทรหาแม่.....คนเพียงคนเดียวที่รักเขามากที่สุดในโลก และสามารถให้ความอบอุ่นปลอดภัยกับเขาได้มากกว่าใครๆ “แม่ผมขอโทษ....ผมขอโทษแม่ !!!!!...แม่ช่วยผมด้วย.... ”.....แต่อนิจจา เสียงที่แม่ได้ยิน กลับเป็นเพียงเสียง หวีดหวิว ไร้ซึ่งถ้อยคำ.....และก่อนที่เทียนจะดับลงอย่างสมบูรณ์ เณรเป้ก็ตะโกนร้องหาพ่อ “พ่อผมขอโทษ !!!”
เมื่อสิ้นเสียงนั้น และเปลวเทียนแห่งชีวิตได้ดับวูบลง เณรเป้ก็ก้มลงมองมือตัวเอง และเห็นว่ามือนั้นค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น และยาวขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อรู้สึกตัวอีกที ร่างของเขาก็สูงพ้นยอดไม้ไปเสียแล้ว และได้ตกลงไปอยู่ในห้วงเหวอันมืดมิด ที่มืออันแสนอบอุ่นของแม่จะไม่มีวันจะเอื้อมไปถึงอีกเลยชั่วกัปชั่วกัลป์...
**ข้อบ่งใช้ : เพื่ออรรถรสในการอ่านบล็อกนี้และดู "หลาวชะโอน" โปรดฟัง
เพลง "คนที่ฆ่าฉัน" ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ไป
พร้อมๆ กันด้วยค่ะ เพราะเนื้อเพลง จะบอกสิ่งที่อยู่ในใจเป้ และ
เด็กๆ อีกหลายคนที่มีปัญหา แบบค่อนข้างเกินเยียวยา ให้เรา
ได้รับรู้ถึงจิตใจ และความเจ็บปวดของพวกเขาได้ด้วยค่ะ
อ่านจนจบแล้ว ทราบหรือยังคะว่า "ใครฆ่าเณรเป้"