วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

นานะ ภาค 2 : กับมายาคติในสังคมญี่ปุ่น



สร้างมาจนถึงภาค 2 แล้วกับหนังที่ทำมาจากการ์ตูนผู้หญิงเรื่องนี้ ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภาค 2 เป็นเรื่องการตั้งท้องของนานะหวาน และการได้เดบิวท์งานครั้งแรกของวง Black Stone ที่มี นานะพังค์ เป็นนักร้องนำ นานะภาคนี้เปลี่ยนคนแสดงไปหลายคน โดยเฉพาะบทที่สำคัญต่อเรื่องที่สุดอย่าง บท โคมัตสึ นานะ ที่แต่เดิมแสดงโดย มิยาซากิ อาโออิ เปลี่ยนมาเป็น อิชิคาว่า ยูอิ ที่หลังจากดูหนังจนจบแล้ว รู้สึกว่าแม่นางยูอิ ช่างเหมาะกับการเป็นนานะหวานเสียเหลือเกิน

หนึ่ง-เพราะเธอตัวเล็กๆ น่ารักตามพิมพ์นิยมของผู้ชายญี่ปุ่น ทำให้เวลาเข้าคู่กับตัวละครโนบุที่ในภาคนี้ต้องตกลงเป็นแฟนกัน ฝ่ายชายค่อยดูสมกับเป็นแฟนเธอขึ้นมาหน่อย เพราะนานะหวานคนเก่าตัวสูงปรี๊ด และออกแนวล่ำบึกยังไงชอบกล พ่อโนบุเลยดูตัวเล็กไปในบัดดล

สอง-เพราะเธอสามารถแสดงความเป็นผู้หญิงที่ 'ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้' ของโคมัตสึ นานะ ออกมาได้อย่างดีมากๆ ในขณะที่มิยาซากิ ทำได้แค่แสดงเป็นเด็กผู้หญิงที่เอาแต่ใจตัวเองและขี้วีนเท่านั้น น่าเสียดายถ้าเธอมาตั้งแต่ภาคแรก คนดูจะได้ไม่ติดภาพรอยยิ้มอันสดใส และท่าทางการทำปากที่น่ารักน่าหยิกของมิยาซากิ แต่จะติดภาพปากบางๆ เหมือนกลีบกุหลาบแรกแย้มของเธอแทน

สำหรับคนที่เป็นคอการ์ตูนญี่ปุ่นและซีรีส์ญี่ปุ่น คงรู้กันดีว่าผู้หญิงในการ์ตูนและซีรีส์เหล่านั้น มักจะมีลักษณะที่เรียกกันว่า 'ฟูมฟาย' ซึ่งก็คือการแสดงอารมณ์อย่างฟุ่มเฟือยนั่นเอง เพราะไม่ว่าเธอจะโกรธ เศร้า ดีใจ ตื่นเต้น หรืออะไรก็ตาม เธอๆ ในนั้นจะไม่เก็บอารมณ์กันเลยแม้แต่น้อย และมันจะออกมาเป็นเช่นที่นานะหวานในภาค 2 นี้เป็นทุกประการ

และถ้าหากผู้หญิงทั่วโลกปรุงแต่งตัวเองให้สวยใสเพื่อผู้ชายแล้วละก็ ขอบอกว่าผู้หญิงในการ์ตูนและซีรีส์ญี่ปุ่นเป็นยิ่งกว่านั้นเสียอีก เพราะเธอจะฝากชีวิตทั้งชีวิตของเธอไว้ที่ผู้ชายเลยทีเดียว และพร้อมจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นอย่างที่ชายคนนั้นชอบ เช่น พร้อมที่จะแหกขี้ตาตื่นมาแต่เช้ามืดเพื่อมาทำข้าวกล่องสื่อรักไปให้ฝ่ายชายกินตอนพักเที่ยง และจะทำอย่างนี้ไม่ว่าจะอยู่ในวัยมัธยมหรือว่าล่วงเลยเข้าสู่วัยทำงานแล้วก็ตาม

มีอยู่ฉากหนึ่งที่ทาคุมิ หัวหน้าวง Trapnest ที่นานะหวานหลงรักและเผลอไปมีสัมพันธ์ด้วยจนตั้งท้อง พูดกับเธอว่า "เธอนี่ช่วยเหลือตัวเองๆ ไม่ได้จริงๆ เลยนะ อายุตั้ง 20 แล้วนะ ทำงานทำการก็ไม่มั่นคง พอเหงาเข้าหน่อยก็ตกเป็นของผู้ชายได้ง่ายๆ จนตั้งท้องขึ้นมา ถ้าพ่อแม่รู้คงเสียใจแย่" แล้วเขาก็ทำท่าเอ็นดูเธอดั่งเธอเป็นลูกกวางตัวน้อยๆ ที่ยอมศิโรราบให้กับนายพราน และยอมให้เขาตัดเอาเขาของมันไปประดับฝาผนังที่บ้านได้ แล้วต่อมานานะก็พร่ำบอกกับตัวเองว่า ทาคุมินั้นยอมรับในความเป็นคนไม่เอาไหนของเธอได้ และเข้าใจในความเป็นคนว่างเปล่าของเธอดี....

ที่จริงแล้วไม่รู้ว่านานะได้ฉุกคิดบ้างหรือเปล่าว่าที่เธอเห็นว่าทาคุมิเข้าอกเข้าใจเธอนั้น มันเป็นเพราะอะไรกันแน่ มันเป็นเพราะผู้หญิงหงิมๆ ติ๋มๆ ไม่ค่อยมีปากมีเสียงอย่างเธอ ดูแล้วมีแนวโน้มที่จะยอมตกเป็นเบี้ยล่างสามีแน่ๆ หรือเปล่า ทาคุมิคงคิดมาดีแล้วว่าถ้าเอายัยคนนี้เป็นเมีย เขาคงครอบงำเธอได้ง่ายๆ ยิ่งทาคุมิเป็นคนเจ้าชู้ด้วยแล้ว เมีย เซื่องๆ อย่างนานะ ย่อมไม่กล้าหือเขาแน่นอน หากเธอจับได้ว่าเขามีกิ๊ก.....
หากจะบอกว่าภาพลักษณ์และตัวตนของ โคมัตสึ นานะ เป็นมายาคติที่ผู้ชายญี่ปุ่น (และอาจจะอีกหลายๆ ประเทศ) โดยเฉพาะผู้ชายช่วงอายุระหว่าง 30-50 ปี อยากให้ผู้หญิงเป็น ก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะสำหรับชายชาวญี่ปุ่นแล้ว เมียคือคนที่มีหน้าที่ทำกับข้าวอร่อยๆ ให้เขากิน (การ์ตูนบางเรื่องถึงกับเขียนเรื่องทำนองว่า ผู้ชายคนหนึ่งเลือกแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง เพียงเพราะเธอทำกับข้าวเก่ง โดยไม่สนใจตัวตนด้านอื่นๆ ของเธอเลยแม้แต่น้อย) คอยอยู่แต่ที่บ้าน ทำงานบ้านไป ไม่ต้องออกไปหางานทำนอกบ้านหรอก เพราะชายชาวญี่ปุ่นรักที่จะทำงานหาเลี้ยงเมียมากกว่าชายชาติอื่นๆ อยู่แล้ว

เพราะผู้ชายญี่ปุ่นรุ่นเก่าไม่ค่อยยอมรับในความเก่งกาจของผู้หญิงเท่าไรนัก หาไม่แล้วนานะหวานรวมทั้งผู้หญิงทำงานในญี่ปุ่นส่วนใหญ่คงได้ทำงานอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน มากกว่าแค่งานชงน้ำชาและถ่ายเอกสาร แล้วจะเรียนสูงๆ ไปทำไมกันละนี่ (หากอยากรู้เรื่องจริงของสังคมผู้หญิงทำงานในญี่ปุ่น แนะนำให้ไปหา 'ตะลึงงันและสั่นไหว' มาอ่าน อันเป็นเรื่องของสาวฝรั่งที่ไปทำงานกับบริษัทญี่ปุ่น และก็ได้อึ้งกับระบบความคิดที่ว่า ผู้หญิงหากจะขึ้นเป็นใหญ่นั้นอย่าได้หวัง ถ่ายเอกสารต่อไปเถอะเธอ !!) และหลังจากนั้นเธอก็ต้องมีลูกน่ารักๆ ให้เขาเชยชม แค่นี้แหละชีวิต..... เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า ผู้หญิงตอนเด็กๆ ก็เป็นสมบัติของพ่อแม่ พอแต่งงานไปก็เป็นสมบัติของสามี และพอแก่ตัวก็เป็นสมบัติของลูกๆ....ชะตาชีวิตของโคมัตสึ นานะ ที่เราไม่ได้เห็นหลังจากหนังปิดม่านไปแล้ว ดูท่าจะเป็นเช่นคำกล่าวนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

และในขณะเดียวกันภาพลักษณ์ของโอซากิ นานะ หรือนานะพังค์ ที่ยอมเลิกกับคนรักเพื่อทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง ก็เป็นเหมือนสิ่งที่ผู้หญิงญี่ปุ่นยุคใหม่ต้องการจะเป็นนั่นเอง คือการทำตัวให้เข้มแข็งก็ได้และอ่อนแอก็ได้หากถึงคราวต้องทำ ไม่ได้เป็ันเฟมินิสท์จ๋าแบบยุคก่อนๆ การเป็นเฟมินิสท์ยุคใหม่แบบที่โอซากิ นานะเป็น ก็คือการกล้าจะทำในสิ่งที่ตัวเองรัก (เคยอ่านการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่ลูกชายบ่นถึงแม่ของตัว ว่าเอาแต่ใจอยากย้ายบ้านก็ย้าย แถมยังออกไปทำงานที่ตัวเองรักอีกต่างหาก คล้ายกับว่าสำหรับผู้หญิงญี่ปุ่นในอุดมคติแล้ว การทำสิ่งที่ตัวเองรัก ถือเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ เพราะเธอควรต้องถือครอบครัวเป็นสำคัญ) กล้าที่จะรักใครสักคน โดยไม่โลเลไปกับคำอ่อนหวานของผู้ชายง่ายๆ และเมื่อถึงคราวต้องเป็นนางร้ายเธอก็ทำได้ไม่ต้องคิดมาก....

มีอยู่ฉากหนึ่งที่นานะหวานคิดว่านานะพังค์กับโนบุนั้นอยากให้เธอเป็นสาวใสซื่อ ไร้เดียงสา แต่จริงๆ แล้วนั้น ทั้งนานะ พังค์ และโนบุอยากให้นานะหวานเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งต่างหาก เพราะเมื่อนานะพังค์รู้ว่าฮาจิของตัวเองตัดสินใจจะแต่งงานกับทาคุมิจริงๆ ก็เลยเตือนว่าอย่าไปหงอทาคุมิเชียวนะ ถ้าเขานอกใจเธอให้ตั๊นหน้าไปสองสามทีเลยนะ....นานะหวานก็ได้แต่ยิ้มรับ แต่แน่นอนถ้าเหตุการณ์ดังว่าเกิดขึ้นจริง เธอก็คงไม่ทำอย่างที่นานะพังค์แนะนำหรอก แต่รับประกันได้เลยว่านานะพังค์จะทำอย่างที่ตัวเองแนะนำฮาจิไปแน่นอน หากเร็นนอกใจเธอ

และนี่คงเป็นการคัดง้างกันระหว่างโลกสองใบของผู้หญิงญี่ปุ่นกระมัง ว่าการมีชีวิตแบบใดจะมีความสุขอันยั่งยืนมากกว่ากัน....โลกแห่งการทำตัวเป็นเกอิชาของสามี หรือโลกแห่งการทำตามใจตัวเอง

ถ้าตราบใดที่ยังมีดาราสาวผู้คิดว่าการโชว์เรือนร่างและของสงวนของตัวเองเป็นเรื่องสมควรทำ โดยไม่สนใจว่าผู้คนจะมองและปฏิบัติกับเธอราวกับเธอเป็นแค่วัตถุที่เขาวางไว้ให้ถ่ายรูปเท่านั้น ตราบนั้นผู้หญิงก็ยังคงจะต้องยอมเป็นสมบัติของใครๆ ไปอีกนานแสนนาน


จากคอลัมน์ สนามวิจารณ์ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2550



วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

In the Way I am: บนเส้นทางชีวิตที่เลือกเดิน

หากเปรียบชีวิตเป็นเหมือนถนนสายหนึ่ง มันก็คงมีหลากหลายเส้นทางที่จะให้เราเลือกเดินไป ทั้งทางตรง ทางอ้อม ทางด่วน ทางลัด ทางกำลังปรับปรุง ทางตัน ฯ ส่วนใครจะเลือกเดินไปตามเส้นทางไหนก็คงสุดแท้แต่ว่าเขาคนนั้นมีสิ่งใดเป็นจุดมุ่งหมายในชีวิตนั่นเอง....




คนบางคนนั้นชีวิตอาจไม่ค่อยมีทางให้เลือกมากมายนัก ด้วยเป็นเพราะว่าต้นทุนของชีวิตที่สวรรค์ให้มามันน้อยนิดเหลือเกิน อย่างเด็กที่ไม่มีเงินเรียนสูงๆ ชีวิตเขาจะเป็นอะไรได้มากไปกว่าคนใช้แรงงานเหรอ ? ชีวิตทางเลือก จะมีอะไรให้เลือกมั๊ย ! คนพวกนี้มีสิทธิ์จะเลือกอะไรให้กับชีวิตตัวเองบ้างมั๊ย ? บางทีเราเลยพบว่าเด็กรวยๆ คนรวยๆ มีทางเลือกให้กับชีวิตตัวเองได้มากกว่าคนจนๆ เดินดินกินข้าวแกงอย่างมากมายมหาศาล....ไม่อยากเรียนเหรอ ? เรียนไม่จบเหรอ ? ... เดี๋ยวพ่อแม่เปิดร้านอะไรสักอย่างให้แล้วกัน จะเอาร้านถ่ายรูปวัยรุ่นดีมั๊ย หรือจะเอาร้านกาแฟไฮเทคดี สปาก็ได้นะ ไม่อยากอยู่เมืองไทยเหรอ หรือทำเรื่องฉาวโฉ่เอาไว้ ก็ไปอยู่เมืองนอกล่ะกัน !! อยากจะพังค์แค่ไหน อยากจะหลุดโลกแค่ไหน หรืออยากจะแนวแค่ไหน ก็ทำได้อยู่แล้ว เพราะมีตังค์ แต่บางทีก็ทำได้แค่เปลือกๆ น่ะ




แต่หลายๆ ครั้ง เราก็กลับพบว่าอีกเช่นเดียวกันว่า คนจนๆ หรือผู้ด้อยโอกาสในสังคมนั้น ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยมีทางเลือกใดๆ ให้กับชีวิตของตัวเองมากนัก แต่ก็มีบางคนจากคนกลุ่มนี้ที่สามารถพลิกชีวิตให้กับตัวเองได้ อย่างเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้...




โซอิชิโร่ ฮอนด้า เกิดในครอบครัวช่างตีเหล็ก ที่ฐานะไม่ได้ร่ำรวยอะไร สมบัติของพ่อแม่ที่จะมอบให้ลูกๆ ก็คือวิชาช่างเหล็ก และกิจการตีเหล็กที่รอให้เขาเข้ามารับช่วงต่อเมื่อโตขึ้น แต่เด็กที่ช่างคิด และกระตือรือร้นอย่างโซอิชิโร่ ที่แม้จะดูซุกซนไปบ้างในสายตาผู้ใหญ่ แต่เขาก็มีความชอบ ความสนใจ และหลงใหลในเรื่องเครื่องยนต์ และรถยนต์เป็นอันมาก ถ้าเห็นรถยนต์มาจอดในหมู่บ้านเมื่อไหร่ เขาจะต้องขอเข้าไปดูใกล้ๆ ทันที บางทีเจอเจ้าของรถใจดีก็ได้สัมผัสตัวถังรถ หรือได้ขึ้นไปนั่งบนรถด้วย โซอิชิโร่หลงใหลกระทั่งกลิ่นของน้ำมันรถด้วยซ้ำ และความหลงใหลนี้เอง ทำให้โซอิชิโร่มีความฝันว่าสักวัน เขาจะต้องสร้างรถยนต์ขึ้นมาด้วยมือของตัวเองให้ได้ แต่...ครอบครัวฮอนด้าไม่ได้เป็นครอบครัวที่ร่ำรวยอะไร ไม่มีเงินส่งโซอิชิโร่เรียนสูงๆ แน่นอน แต่ในเมื่อถ้าอยากทำรถยนต์ ก็ต้องเรียนรู้เรื่องเครื่องยนต์ แล้วโซอิชิโร่จะทำยังถึงจะเข้าใกล้ความฝันของตัวเองได้ล่ะ




เมื่อเรียนจนจบชั้นประถมปลาย โซอิชิโร่แสนลำบากใจที่จะบอกพ่อเหลือเกินว่า เขาอยากจะมีอู่ซ่อมรถเป็นของตัวเอง ยิ่งพอพ่อถามว่าอยากจะเรียนต่อชั้นมัธยมมั๊ย แล้วเขาอ้ำอึ้ง พ่อจึงบอกเขาด้วยความปรานีว่า ไม่ต้องมาสืบทอดกิจการตีเหล็กของพ่อต่อไปก็ได้ ถ้าอยากเรียนต่อก็ไปเรียนได้เลย เมื่อโซอิชิโร่ปลดภาระทางใจเรื่องที่ต้องสืบทอดกิจการของบรรพบรุษลงไปได้แล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือการหาหนทางที่จะไปให้ถึงซึ่งความฝันของตัวเอง ซึ่งโซอิชิโร่พบทางลัดที่จะไปให้ถึงความฝันนั้น โดยที่ไม่ต้องเรียนมหาวิทยาลัย เมื่อเขาเจอประกาศรับสมัครเด็กฝึกงานของบริษัทอาร์ต ซึ่งเป็นอู่ซ่อมรถที่โตเกียว จึงรีบส่งจดหมายไปสมัครทันที....และหลังจากรอแล้วรอเล่า ก็มีจดหมายตอบกลับมาว่ารับโซอิชิโร่เข้าทำงานที่บริษัท....โซอิชิโร่นั้นแม้จะดีใจมาก แต่ก็ยังกังวลว่าพ่อจะไม่เห็นด้วย และไม่ยอมให้เขาไปโตเกียว แต่ปรากฏว่าพอเขาไปบอก พ่อกลับบอกเขาว่าเป็นลูกผู้ชาย ต้องเลือกทางเดินชีวิตของตนด้วยตัวเอง แล้วก็ลงทุนปิดร้านพาโซอิชิโร่ไปฝากฝังกับเจ้าของบริษัทอาร์ตด้วยตัวเอง พอมาได้ถึงขนาดนี้โซอิชิโร่ก็รู้สึกว่าตัวเองได้เข้าใกล้ความฝันของตัวเองมากขึ้นมาอีกก้าวนึงแล้ว แต่โซอิชิโร่คงไม่รู้หรอกว่า ต่อไปความฝันของเขาจะไปได้ไกลกว่าที่เขาเคยหวังเอาไว้ตอนแรกเสียอีก




แต่สิ่งที่รอโซอิชิโร่อยู่ที่บริษัทอาร์ตนั้น กลับกลายเป็นต้องช่วยเลี้ยงเด็กบ้าง ช่วยนายผู้หญิงทำงานบ้านบ้าง รวมทั้งต้องเก็บเสื้อผ้าของพี่ๆ ในอู่ไปซักอีก เมื่อเป็นเช่นนี้โซอิชิโร่ผู้หอบความหวังจากบ้านมาเต็มเปี่ยม จึงรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง เขาเคยประท้วงไปครั้งนึง ด้วยการเขียนคำอุทรณ์ว่าอยากทำงานซ่อมรถซะที แต่ก็ถูกทุกคนเมินเฉย....ครึ่งปีผ่านไป ผ่านทั้งคำล้อเลียน ฉี่เด็ก แล้วไหนยังจะไม่ได้จับเครื่องยนต์ที่อยากจับซะที โซอิชิโร่เลยรู้สึกว่าพอแล้ว ขอลาที กลับบ้านดีกว่า...สบโอกาสตอนดึกทุกคนนอนหลับกันหมด โซอิชิโร่ก็แบกข้าวของขึ้นหลัง และแอบปีนลงมาจากทางหน้าต่าง แต่พอเดินไปได้ครึ่งทาง หน้าพ่อก็ลอยขึ้นมา พร้อมโอวาทที่พ่อให้ไว้ “นี่คือเส้นทางที่ลูกเลือกเองนะ ไม่ว่าจะทุกข์ทรมานแค่ไหนก็ต้องอดทน หนีกลับมาทางบ้านก็ไม่ต้อนรับหรอกนะ” คิดได้ดังนั้น โซอิชิโร่ก็เลยแบกกระเป๋าและความหวังที่ลุกโชนขึ้นมาใหม่กลับไปยัง บริษัทอ าร์ต เหมือนเดิม.....ขณะกำลังจะปีนขึ้นไปก็ได้ยินเสียงบอกว่า ประตูเปิดอยู่ ไม่ต้องปีนหรอก เป็นรุ่นพี่นั่นเอง ที่แอบเห็นตอนเขาหนีออกมา รุ่พี่บอกกับโซอิชิโร่ว่า “ฉันก็เคยหนีจากร้านขายผ้าเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ว่านั่นมันเป็นงานที่ฉันไม่ชอบ แต่อู่ซ่อมรถเนี่ยมันเป็นงานที่ฉันชอบและเลือกเอง ดังนั้นก็ต้องอดทนกับมัน แต่ความอดทนอย่างเดียวก็ไม่พอเสมอไปหรอกนะ ที่สำคัญการที่คิดจะหนีไปก่อนจะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ มันน่าทุเรศ” แล้วบอกให้ดูตัวอย่างจากเด็กฝึกงานคนเก่า ที่ทำงานจิปาถะเหล่านั้นก่อนหน้าที่โซอิชิโร่จะมา ว่าเจ้านั่นก็ต้องอดทนอยู่ตั้งเกือบปี ถึงจะได้เข้าไปทำงานในอู่ เพราะฉะนั้นโซอิชิโร่เองก็ต้องอดทนเช่นเดียวกัน




หลังจากตัดสินใจสู้ต่อ ไม่นานต่อมาโซอิชิโร่ก็ได้รับอนุญาตให้ออกไปเปิดอู่ซ่อมรถที่บ้านเกิดของตัวเอง ซึ่งแรกๆ ก็ไม่ค่อยมีใครเชื่อในฝีมือเท่าไหร่ เพราะเห็นว่ายังเด็กๆ อยู่.... ต่อมาเมื่อลูกค้าคนแรกหลงเข้ามาด้วยความไม่รู้จะไปซ่อมรถที่ไหน ในคืนวันฝนตกหนัก โซอิชิโร่สามารถซ่อมรถให้ลูกค้าได้สำเร็จลุล่วง ชื่อเสียงจึงขจรขจาย ลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากมาย โซอิชิโร่จึงเริ่มีเงินทุนให้ไปค้นคว้าเรื่องเครื่องยนต์อย่างที่ชอบ จนสามารถประดิษฐ์ในแบบของตัวเองได้ ซึ่งทำมาจากจักรยานติดเครื่องยนต์ จากนั้นก็ปรับเลี่ยนรูปแบบและพัฒนาครื่องยนต์มาเรื่อยๆ จนต่อมาก็เริ่มขยายไปสร้างรถยนต์ และเริ่มทำขายเป็นเรื่องเป็นราว โดยตั้งชื่อว่ารถยนต์ “ฮอนด้า” แล้วโปรโมททั้งรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ด้วยการส่งไปแข่งขันที่ต่างประเทศ จนได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ.....ใครจะไปคิดว่าการเลือกเป็นช่างซ่อมรถ ที่ดูเป็นงานไร้เกียรติ จะทำให้ใครกลายเป็นบุคคลสำคัญของโลกไปได้




แต่ใช่ว่าเส้นทางของรถยนต์ฮอนด้าจะราบรื่นอยู่ตลอด โซอิชิโร่ต้องประสบปัญหาขาดทุน และประสบอุบัติเหตุจากการแข่งรถที่เขาลงแข่งด้วยตัวเองเอง แต่โซอิชิโร่ก็ใช้ความมุ่งมั่นที่มีมาแต่เด็กๆ ยังคงทำงานพัฒนาเครื่องยนต์ และฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งชื่อของตระกูลช่างตีเหล็ก กลายมาเป็นชื่อยี่ห้อรถยนต์ที่ผู้คนทั่วโลกนิยมใช้มาจนถึงทุกวันนี้....




นั่นคือเรื่องของคนที่ดูท่าทางไม่น่าจะเลือกอะไรในชีวิตได้เท่าไหร่นัก แต่ก็สามารถสู้จนได้มีชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ.....แล้วกับคนที่ชีวิตก็สุขสบายดีล่ะ.....บางที....การเป็นมนุษย์นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ สมมติว่าคุณรู้ว่าตัวเองเป็นใคร และต้องการจะทำอะไร และคุณมีศักยภาพเพียงพอที่จะทำสิ่งที่คุณต้องการได้....แต่คนรอบข้าง หรือสังคมที่คุณสังกัดอยู่กลับไม่ค่อยเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณคิดหรือสิ่งที่คุณทำเท่าไหร่....แล้วคุณจะทำยังไงดี....




ลองมาฟังเรื่องราวของ ทาคาชิ มูราคามิ ศิลปินร่วมสมัย ผู้ได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์เนมชื่อดัง หลุยส์ วิตตอง ให้ออกแบบกระเป๋ารุ่นใหม่ ก็รุ่นที่เปลี่ยนลายโมโนแกรมสีทึมๆ ให้กลายเป็นสีสันสดใสพร้อมลูกกะตาปิ๊งๆ บนพื้นหนังสีขาวไง ชื่อว่ารุ่น White Murakami ต่อมายังมีรุ่น Black Murakami ที่เป็นลายโมโนแกรมสีสดบนพื้นหนังสีดำ และรุ่นเชอรี่....แล้วนายมูราคามิคนนี้เป็นใครมาจากไหนกันถึงได้มาออกแบบให้กับกระเป๋าแบรนด์ดังระดับโลกอย่างนี้....




ชีวิตของมูราคามิอาจจะดูเพียบพร้อมสุขสบายกว่าโซอิชิโร่สักหน่อย ได้ร่ำเรียนถึงขั้นปริญญาเอกทางด้านศิลปะและดนตรีจากมหาวิทยาลัยโตเกียว ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังของญี่ปุ่น เทียบเท่ากับจุฬาของบ้านเรานั่นแหละ แล้วยังได้แสดงผลงานตามมิวเซียมใหญ่ดังๆ อีกทั่วโลก ส่วนผลงานที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายและเป็นที่จดจำของผู้คนก็คือ ภาพพิมพ์ชื่อ Mr. DOB และงานปูนปั้นสุดทะลึ่ง (ดูได้จากภาพประกอบ)

มูราคามิ ได้รับอิทธิพลในการทำงานจาก มังงะ (หนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น) และอนิเมะ (การ์ตูนอนิเมชั่นญี่ปุ่น) ที่รุ่งเรื่องมากในยุค 80 ซึ่งก็คือตัวการ์ตูนตาแป๋ว (ดูเหมือนงานของมูราคามิ จะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับลูกกะตาโตๆ อยู่เสมอ) จุดยืนของเขาก็คือ ทำให้ศิลปะนั้น เข้าถึงได้ง่าย มีอารมณ์ขัน เสียดสีนิดๆ เข้ากับชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่น และก้าวร้าวพอสมควร ดูไม่ค่อยจะประนีประนอมกับคนดูเท่าไหร่ (ดูได้จากงานปั้นมังงะหนุ่มกับสายยางส่วนตัว) เหตุที่งานต้องแรง ก็เป็นเพราะมูราคามิต้องการให้ผลงานของเขาประทับอยู่ในใจของผู้คนไปนานๆ นั่นเอง “ผมสื่อถึงความสิ้นหวัง”




ที่สำคัญมูราคามิเรียนรู้มาเป็นอย่างดีในเรื่องธุรกิจสิทธิประโยชน์ นั่นคือการนำภาพจากงานของเขาเองไปผลิตเป็นสินค้าสารพัด ไม่ว่าจะเป็น เสื้อยืด แก้วน้ำ พวงกุญแจ ซองมือถือ ผ่านรองเมาส์ ฯลฯ ซึ่งแน่นอนมันทำให้เงินเขามหาศาลทีเดียว ซึ่งตรงจุดนี้แลหะที่ทำให้เขาแตกต่างจากศิลปินรุ่นเก่าๆ ที่มักจะเสียรู้พ่อค้าหัวใสอยู่เสมอ ด้วยนำงานของศิลปินไปผลิต แล้วก็ทำเงินมหาศาล แต่ศิลปินไม่เคยได้อะไรเลย




มูราคามิถูกวางให้เป็น แอนดี้ วอร์ฮอล (ศิลปินชื่อดังระดับโลก) คนต่อไป แต่คนที่ไม่เห็นด้วยมองว่างานของมูราคามิเป็นพาณิชย์ศิลป์มากเกินไป และมองมูราคามิเป็นเพียงนักโฆษณาตัวเอง นายทุนที่เผอิญเป็นศิลปิน... เพราะคนเหล่านี้เห็นว่าผลงานที่จะคลาสสิคได้ และมีชื่อเสียงอยู่อย่างยาวนั้น จะต้องเป็นผลงานที่ถูกแขวนอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ดังๆ เท่านั้น และคนธรรมดาทั่วๆ ไป ก็ต้องเข้าถึงและสัมผัสศิลปะเหล่านั้นยากๆ ด้วย พวกนี้เห็นว่างานของมูราคามิบางงานหยาบเกินไป มีความเป็นมังงะมากเกินไป ซึ่งในสายตาของพวกอนุรักษ์นิยม รู้สึกว่ามังงะนั้นถูกฉาบด้วยน้ำตาลเอาไว้ล่อลวงคนดู และไม่มีความเป็นศิลปะมากพอ เพราะมันหยาบโลนมากเกินไป




ยังไงก็เหอะ อีตานี่ก็สามารถทำให้ชื่อของตัวเองเป็นที่รู้จักติดปากแฟชั่นนิสต้าที่บ้าแบรนด์เนมได้ก็แล้วกัน ตอนนี้ผู้คนเริ่มหันมามองมังงะ และอนิเมะ ในมุมใหม่ๆ มากขึ้น และถึงแม้ว่าเมื่อเอางานของมูราคามิไปวางเปรียบเทียบกับผลงานของศิลปินร่วมสมัยชาวญี่ปุ่นด้วยกันอย่าง โยชิโตโม นาระ เจ้าของผลงานภาพเด็กผู้หญิงหน้าบึ้งๆ ที่บางคนอาจจะเคยเห็นมาบ้าง (ดูภาพประกอบ) อืม....มันช่างดูคอนทราสต์กันเหลือเกิน (ขออนุญาตใช้ภาษาต่างด้าว เพื่ออรรถรสในการเข้าถึงความเข้าใจอันรุนแรงที่มีต่องานของทั้งสองคน) มูราคามิเป็นเหมือนจอมมารบูรพา ส่วนนาระดูเหมือนโลกจะเป็นสีพาสเทลไปเลยงั้นแหละ.....กระนั้นในความเป็น เจ้าตัวก็ไม่แคร์หรอกว่างานของตัวจะดูเป็นงานของคนที่มองโลกในแง่ร้ายอะไรยัง เพราะโลกศิลปะมันควรต้องมีศิลปินหลากหลายแนวมาสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการอยู่เรื่อยๆ ขืนมีแต่คนแบบเดียวเหมือนกันไปหมด โลกก็น่าเบื่อแย่สิ มูราคามิเลยขอเลือกเป็นอย่างที่ตัวเองเป็นนี่แหละ ใครจะว่าไงก็ช่าง....




ยังไงก็ตามขอยืนยันความเชื่อที่ว่าคนเรามีสิทธิ์จะเลือกเป็นอะไรก็ได้ที่เขาอยากจะเป็น แม้มันจะแปลกแตกต่างไปจากเรา หรือจากคนอื่น แต่ก็ไม่แน่ว่าอีกหน่อยมันอาจเป็นสิ่งที่ดีสำหรับตัวเขาและคนรอบข้างก็ได้ แต่บางคนอาจต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเองกันเล็กน้อย ว่าไม่ได้โง่ ไม่ได้บ้า ไม่ได้ดันทุรัง และคนที่เป็นอะไรตามๆ เขาไปเรื่อย ก็ควรจะต้องคิดเอาไว้เป็นการบ้านของชีวิตได้แล้ว ว่าชีวิตตัวเองเกิดมาแล้วจะเลือกเดินไปทางไหนดี ไม่ต้องกลัวจะแปลก ไม่ต้องกลัวจะต่าง ถ้ามันไม่ผิดศีลธรรม จริยธรรม ไม่ได้ไปฆ่าใคร..... อยากทำอะไรก็เริ่มเลย....



จากคอลัมน์ Zoom In ในนิตยสาร ULife

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Bakuman : แอล กับ ไลท์ ภาคปกติ และลัทธิดูถูกผู้หญิง


สืบเนื่องมาจากเพื่อนนุ่นแนะนำให้รู้จักกับ Bakuman หลังจากนั้นไม่นานน้องสาวก็สำทับมาอีกว่า "มันสนุกจริงๆ นะตัวเอง"



น้องบอกว่าของคนเขียนคนเดียวกับ เดธ โน้ต เราก็เลยไม่ต้องลังเลอีกต่อไป เพราะเดธโน้ตก็เป็นหนึ่งในการ์ตูนในดวงใจอยู่แล้ว



วันศุกร์ที่ผ่านมาก็เลยไปสอยมันมาอ่านจนได้อ่านๆ ไปแล้วก็รู้สึกขึ้นมา 2 เรื่อง



เรื่องแรก คือ คาแรคเตอร์ของ โมริทากะ (ไซโค) กับ อาคิโตะ (ชูจิน) มันช่างเหมือน แอล กับ ไลท์ซะเหลือเกิน แต่เป็นแอล กับ ไลท์ ในภาคคนปกติ



บุคลิกของ ไซโค ดูดาร์คหน่อยๆ ปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นไม่ค่อยเก่ง (โดยเฉพาะผู้หญิง) เหมือนแอลเลย แต่ไซโคไม่ได้มั่นใจในตัวเองมากเหมือนแอล



บุคลิกของ ชูจิน ก็เป็นคนฉลาด หัวดี มั่นใจในตัวเอง เจ้าเล่ห์นิดๆ กะล่อนหน่อยๆ เหมือนไลท์แต่ไม่โรคจิต ร้ายกาจเหมือนไลท์



แอบจิ้นไปเองว่า ถ้าแอล กับ ไลท์ มาเจอกันในภาคคนปกติ มันก็คงจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแบบนี้นี่เองล่ะมั้ง



เรื่องที่สอง คือ การ์ตูนของคนเขียนคนนี้ แอบแฝงการดูถูกผู้หญิงแบบผู้ชายญี่ปุ่นส่วนใหญ่เอาไว้ด้วย ตั้งแต่เดธ โน้ตแล้วล่ะ



ตอนเดธ โน้ต ตัวละครผู้หญิงในการ์ตูนเรื่องนี้ ถ้าไม่ไร้สติแบบมิสะ ก็จะต้องอ่อนแอพึ่งพาตัวเองไม่ได้ แบบน้องสาวของไลท์ ผู้หญิงในเรื่องนี้เป็นแค่หมากบนกระดานของไลท์ทั้งนั้นเลย หาคนที่จะฉลาดเท่าทันไอ้ไลท์มันก็ยากยิ่ง ขนาดอุตส่าห์มีมาคนนึง ก็ยังโดนมันฆ่าตายจนได้



ส่วน Bakuman อ่านเล่มแรกจบไป ก็รู้สึกตะหงิดๆ กับไอ้บทสนทนาระหว่างไซโคกับชูจิน ที่คุยถึงเรื่องความหัวดีของคนในโรงเรียน แล้วมันบอกว่าอาซึกิ ผู้หญิงที่ไซโคแอบชอบ เป็นคนหัวดี เพราะจริงๆ แล้วอาซึกิน่าจะเรียนเก่ง แต่แกล้งทำเป็นเรียนปานกลาง เพราะรู้ตัวว่าเป็นเด็กผู้หญิง จึงไม่ควรจะทำตัวเก่งเกินหน้าผู้ชาย



แล้วมันก็บอกอีกว่าเด็กผู้หญิงอีกคนในห้องที่เรียนเก่งๆ ไม่น่ารัก เพราะว่าทำตัวเก่งเกินคนอื่นๆ และชอบวางท่าข่มคนอื่น (มันรู้สึกไปเอง หรือเป็นงั้นจริงๆ ก็ไม่มีทางรู้ได้ว่ะ)



กับอีกตอนที่ไซโคมันไปขอแม่ว่าจะเป็นนักเขียนการ์ตูน แล้วแม่ไม่เห็นด้วย เพราะอาของไซโคก็เป็นนักเขียนการ์ตูนเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ แถมยังทำงานหนักจนป่วยตาย แม่เลยกังวลตามประสาคนเป็นแม่ แต่พอแม่ไปบอกพ่อหวังจะให้ช่วยกันคัดค้านลูก พ่อกลับบอกกับแม่ว่า



"ผู้ชายก็มีความฝันของลูกผู้ชาย ผู้หญิงน่ะไม่เข้าใจหรอก"



โอววววว !!!!! ผู้ชายเท่านั้นที่มีความฝันได้เหรอวะ แถมอีสองตัวนี้มันยังดูถูกความฝันของอาซึกิที่อยากเป็นนักพากย์ ว่า ก็แค่หาอะไรที่คนทั่วไปกำลังนิยม แล้วเอามาเป็นความฝันของตัวเองก็เท่านั้น จริงๆ ความฝันของอาซึกิน่าจะเป็นการได้เป็นเจ้าสาวแสนสวยมากกว่า....



มันก็จริงอยู่หรอกที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็อยากแต่งงาน เป็นเจ้าสาวแสนสวยอะไรนั่น แต่มันก็ต้องมีความฝันอย่างอื่นในชีวิตมั่งสิวะ เกิดยึดแต่ความฝันว่าอยากแต่งงานอย่างเดียว แล้วฝ่ายชายเกิดตายไปกะทันหันก่อนแต่งงาน หรือรักล่ม หรือผู้ชายคนที่จะแต่งงานด้วย จริงๆ แล้วแม่งเป็นเกย์ งี้ก็ตายไปเลยดิ



เรามีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นหลายคนเหมือนกัน (หลายๆ คนในนี้เราก็รู้ว่าเค้าก็มีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นเหมือนกัน) แต่ละคนก็ต่างวัยกันไป คนรุ่น 35 อัพ จะเป็นพวกไม่ชอบทำตัวแตกต่างจากคนอื่น แล้วก็ไม่ค่อยจะคิดว่าภรรยาก็มีหัวใจ



เคยรู้จักคนญี่ปุ่นคนหนึ่งแก่กว่าเรา 5 ปี เค้าเป็นหนึ่งในนักเรียนต่างชาติที่เราเคยไปสอนภาษาไทยให้ ภรรยาเค้าเพิ่งจะคลอดลูก เค้ามาถามเราว่าการไม่ไปดูแลภรรยาที่โรงพยาบาลนี่มันแปลกมากเหรอ ในสายตาคนไทย



เพราะคนที่ทำงานเค้าพอรู้ว่าภรรยาเค้าคลอดลูก แล้วเค้ายังมาทำงานตามปกติ ก็ถามเค้าว่าทำไมไม่ลาไปดูแลภรรยา ออกแนวประณามเค้าอีกต่างหาก เค้าก็งง ว่ามันจะอะไรกันหนักหนา แค่เมียคลอดลูก....เค้าไม่ได้คิดว่าภรรยาต้องทนเจ็บปวดจากการคลอดลูกขนาดไหนอ่ะ เค้าคงคิดว่ามันง่ายๆ ไม่เห็นต้องไปดูแล เราก็งงๆ กับพี่แกเหมือนกัน



แล้วเคยคุยกันเรื่องงาน เค้าเห็นเราเปลี่ยนงานประจำบ่อย ช่วงยังไม่ลงตัว ยังหาทางเข้าไปสู่แวดวงที่ชอบไม่ได้ เค้าก็ทำหน้าละเหี่ยใจ ว่านี่มึงเปลี่ยนงานประจำอีกแล้วเหรอเนี่ย ครั้งที่เท่าไหร่แล้วล่ะ เราก็บอกว่าเราอยากเป็นนักเขียน และเรากำลังหาทางให้ได้ทำงานที่ตัวเองชอบอยู่



ส่วนเค้าตอนนั้นอายุ 29 ไม่ชอบอยู่ประเทศตัวเอง เคยอยู่สิงค์โปร์มา 9 ปี แต่งงานเพราะการดูตัว และทำงานที่เมืองไทยเป็นผู้จัดการโรงงานแถวอยุธยา มีรถประจำตำแหน่ง มีคอนโดแถวทองหล่อที่บริษัทจ่ายค่าเช่าให้ ดูๆ ไปก็ดีอยู่อ่ะ แต่เค้าเหมือนเซ็งๆ ชอบกล ถามว่าไม่กลับไปอยู่บ้านเหรอ เค้าบอกว่าญี่ปุ่นน่าเบื่อ ค่าครองชีพก็สูง ขืนไปอยู่ที่นั่น เงินคงไม่พอเหมือนอยู่ที่นี่



เราคิดเอาเองว่า มันจะเป็นไงนะ ถ้าเค้าหาภรรยาเอาเอง โดยไม่ผ่านการดูตัว (พี่แกชอบบ่นว่ามักจะทะเลาะกับภรรยาเป็นประจำ) แล้วมันจะเป็นไงนะถ้าเค้ามีอะไรสักอย่างที่ชอบ และลองพยายามไปให้ถึงมัน ก็ได้แค่คิดแหละ เพราะเราก็ไม่อาจะจะรู้ได้ว่า สุดท้ายถ้าเค้าดำเนินชีวิตแบบที่เราคิด แล้วชีวิตเค้ามันจะดีไปกว่านี้มั๊ย



เราว่ามันคงขึ้นอยู่กับว่าทั้งเค้าและเราเอาอะไรเป็นตัวตั้งในการดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มากกว่า



สำหรับเราตัวคนเดียว เรายอมกินแกลบ ยอมลำบากเพื่อรอเวลาไปให้ถึงจุดที่เราตั้งใจและใฝ่ฝัน แต่สำหรับเค้าการทำงานดีๆ มีเงินเยอะๆ มีฐานะการงานที่มั่นคงมันอาจจะเป็นชีวิตที่น่าปรารถนามากกว่าก็ได้



สำคัญคือถ้าเลือกหนทาง และวิถีชีวิตของตัวเองไปแล้ว เราก็ต้องมีความสุขและพอใจกับมันจริงๆ อ่ะ อย่าแกล้งทำเป็นมีความสุข เพราะสังคมส่วนใหญ่บอกว่าทำแบบนี้แล้วมึงจะมีความสุข เราไม่เคยเชื่อในการมีชีวิตอยู่แบบนั้นเลยว่ะ มันเหมือนแค่รอให้ผ่านไปวันๆ



แต่ที่แน่ๆ นะ อีไซโค (หริออีกนัยนึงน่าจะเป็น อีตา ทาเคชิ โอบาตะ คนวาดภาพการ์ตูนเรื่องนี้และเดธ โน้ต กับอีตาซึกุมิ โอบะ คู่หูคนเขียนเนื้อเรื่อง เราว่ากำลังมันเขียนเล่าเรื่องตัวเองอยู่กลายๆ นะ)



"ผู้หญิงก็มีความฝันของตัวเอง ที่ไม่ใช่แค่ฝันจะแต่งงานเป็นเจ้าสาวแสนสวยของใครสักคน"

การเดินทางของชายจรจัด


วันนี้เรานั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์บนถนนฝั่งตรงข้ามออฟฟิศตอนเย็นๆ แล้วอยู่ๆ ก็มีชายจรจัดคนหนึ่งเดินผ่านเราไปอย่างเงียบเชียบ



เรามองไปที่เค้า ชายคนจรจัดคนนั้นแต่งตัวมอซอ มีคราบดำๆ เขรอะๆติดอยู่ตามเสื้อผ้า ตามเนื้อตัวเต็มไปหมด เค้าแบกกระเป๋าเป้ใบโตไว้บนไหล่ข้างหนึ่ง และกำลังเดินมุ่งไปข้างหน้า ด้วยรองเท้าเก่าๆ โทรมๆ ที่ไม่รู้ว่าใส่เดินมากี่พันกิโลเมตรแล้วเราสงสัยซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่เราเคยสงสัยมาตลอด



เวลาที่เรามองไปที่คนจรจัด และคนบ้าที่เป็นคนบ้าเจ้าประจำแถวบ้าน และแถวโรงเรียนเค้าจะเดินไปที่ไหนเค้าจะเดินไปอย่างนั้นอีกนานมั๊ยแล้วเค้าจะหยุดเดินเมื่อไหร่ชีวิตที่ไม่มีใครสักคนให้คุยด้วยแบบนั้น มันจะเปลี่ยวเหงาสักแค่ไหนกันนะการมีชีวิตอยู่โดยต้องเดินไปเรื่อยๆ นิ่งเงียบไปเรื่อยๆ ถ้ามันไม่ทำให้เค้าลืมการพูด และหยุดเดินอีกไม่ได้มันก็คงจะทำให้เค้ากลายเป็นคนที่คุยกับตัวเองไปแทนบางทีการที่เราเห็นคนจรจัดชอบพูดอยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เหมิอนเป็นคนบ้าเค้าอาจจะไม่ได้บ้าก็ได้แต่เค้ากำลังคุยกับตัวเองเพราะเค้าแค่ไม่มีใครให้คุยด้วย.....



เรานั่งมองชายจรจัดคนนั้นเดินหายไปจนลับตาแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า ทุกย่างก้าวของเค้าช่างหนักแน่น และมั่นคงเสียจริงก็ขนาดหมาที่ยืนอยู่แถวนั้นยังไม่เห่าเค้าเลยสักแอะ ทั้งที่ตามปกติหมามันมักจะรุมเห่าคนจรจัดที่เป็นสิ่งแปลกปลอมสำหรับพวกมันเสมอแต่หมาพวกนั้นกลับแค่ดมๆ แล้วก็ปล่อยให้ชายจรจัดมีรองเท้าผู้นั้นเดินผ่านไปเฉยๆแล้วสักวันเค้าจะได้หยุดเดินซะทีมั๊ยนะจะเจอสิ่งที่พอจะเรียกได้ว่าเป็น “บ้าน” ของตัวเองมั๊ยนะยิ่งมองก็ยิ่งคิดได้ว่าถึงเราจะอยากหยุดเดินสักแค่ไหนแต่เราก็ยังต้องเดินต่อไปอยู่ดีถ้าเรายังมีลมหายใจ


ชายจรจัดเดินผ่านไปตามเส้นทางนี้ แล้วเดินหายไปจนลับตา...จะมีใครที่ไหนรู้บ้างว่า จุดหมายปลายทางของเค้าอยู่ที่ใด

แท้จริงแล้วหนังผี คือ ประจักษ์พยานของความชั่วร้ายในสถาบันครอบครัว





รู้สึกยังไงบ้างเวลาที่นั่งดูหนังผี




กลัว?




หลอน?




ขนลุก?




ไม่กล้าดู?


นั่นเพราะในหนังผีเหล่านั้นมีภาพน่ากลัวติดตาของผู้หญิงที่โดนทำร้ายจนกระดูกหักหมดทั้งตัวใช่มั๊ย (จูออน) หรือเป็นเพราะมีภาพผีผู้หญิงตัวขาวซีดเกาะอยู่บนหลังของผู้ชายคนที่เธอรักมากที่สุดในชีวิต (ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ)

นอกจากความกลัว ความสยอง และความหลอนแล้ว รู้สึกอะไรอีกบ้างมั๊ย? เคยสงสัยกันบ้างมั๊ยว่า ทำไมผีในหนังผีส่วนใหญ่ถึงต้องเป็นผู้หญิง....



แล้วเคยสงสัยกันบ้างมั๊ย ว่าทำไมพวกเธอเหล่านั้นถึงต้องตาย และเมื่อหนังเฉลยสาเหตุการตายของพวกเธอแล้ว เคยเกิดคำถามขึ้นในใจมั๊ย ว่าพวกเธอเหล่านั้นสมควรตายด้วยเหรอ.....พวกเธอทำผิดอะไร ถึงต้องโดนฆ่าตายอย่างโหดร้ายทารุณอย่างนั้น


ที่แท้แล้ว คำตอบอาจจะมีเพียงหนึ่งเดียวก็ได้ นั่นคือ ผีผู้หญิงเหล่านั้นคือเหยื่อของการใช้ความรุนแรงในครอบครัว!


ใน “ตู้ซ่อนผี” หรือ “A Tale of Two Sisters” (ซึ่งเป็นหนังผี และเป็นหนังที่ชอบที่สุดในชีวิต) “ซูมี” ต้องป่วยเป็นโรคจิตบุคลิกภาพแตกแยก เพราะเธอต้องสูญเสียน้องสาวคนเดียวไป หลังจากที่น้องพยายามช่วยแม่ที่ผูกคอตายอยู่ในตู้เสื้อผ้า แล้วพลาดพลั้งถูกตู้ที่ว่าล้มลงมาทับจนตาย

ประเด็นอยู่ที่ว่า ทำไมแม่ของ ซูมี ถึงผูกคอตาย และทำไมการตายของแม่และน้องสาว ถึงได้ส่งผลให้ ซูมี ถึงกับป่วยเป็นโรคจิตได้


ต้นเหตุของเรื่องเลวร้ายทั้งหมดในชีวิตของ ซูมี ก็คือ พ่อของเธอเอง พ่อผู้มีอาชีพเป็นหมอ พ่อผู้นอกใจแม่ซึ่งกำลังป่วยเป็นโรคร้าย และกำลังอัดอั้นตันใจอย่างสุดๆ กับการนอกใจของสามี และอะไรไม่ร้ายเท่า คนที่พ่อของซูมีนอกใจไปหานั้น ดันเป็นพยาบาลที่พ่อของเธอหามาช่วยดูแลแม่ที่ป่วยนั่นเอง!


ฟังดูคุ้นๆ มั๊ย....สามีที่นอกใจภรรยา แม้ไม่ได้ลงไม้ลงมือทำร้ายภรรยาอย่างเป็นรูปธรรม แต่ทว่าเสียงหัวร่อต่อกระซิกของสามีตัวเองกับหญิงอื่น ก็ให้ผลลัพท์ไม่ต่างอะไรกับการทุบตี.... ผิดแต่ว่านี่เป็นการทุบตีทางจิตใจ ที่แผลของมันไม่อาจจะรักษาเยียวยาให้หายได้ง่ายๆ เหมือนบาดแผลที่ถูกทุบตีทางร่างกาย


และฟังดูคุ้นๆ มั๊ย....พ่อแม่ที่ทะเลาะกัน มีปัญหากัน เอาแต่ประชดประชันกัน ทำร้ายซึ่งกันและกันไม่รู้จักหยุดจักหย่อน โดยที่ลืมคิดไปว่า ยังมีเด็กๆ ที่ครั้งนึงพวกเขาเคยอยากได้นักหนา กำลังได้รับผลกระทบจากการทะเลาะเบาะแว้งของพวกเขาไปเต็มๆ



พ่อแม่แบบที่ว่านี้ บางทีก็ทำเหมือนกับว่าพวกเขาแค่เดินไปช้อปปิ้งตุ๊กตาตามห้างสรรพสินค้า เลือกตัวที่อยากได้ จ่ายเงินแล้วก็กลับบ้าน จากนั้นพอเล่นไปได้สักพัก ก็เริ่มรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ มันเป็นภาระ และพวกเขามีเรื่องสำคัญกว่าที่จะต้องไปทำ เช่น การทะเลาะกัน และการทำร้ายจิตใจกัน เหมือนอย่างที่พ่อแม่ของซูมีทำนั่นแหละ และนั่นเองที่เป็นตะกอนสะสมอยู่ในใจของ ซูมี ซึ่งเมื่อมันถูกการตายของแม่และน้องมากวนให้ขุ่น ชีวิตของ ซูมี จึงแหลกสลายจนยากที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม....


ส่วนผีแม่กับลูกชายที่ถูกสามีฆ่าตายอย่างโหดร้ายทารุณ ด้วยการหักคอ และทุบตี (จนเป็นที่มาของเสียงอันน่าสะพรึง “คร่อกกกกก” อันเป็นเสียงของลมที่อยู่ในลำคอ หรือเป็นเสียงของเส้นเสียงที่ไม่อาจจะเปล่งออกมาได้ เพราะมันขาดสะบั้นจากการถูกหักคอ ก็สุดปัญญาที่จะรู้) ในหนังผีเรื่อง “จูออน” หรือ “บ้านผีดุ” ก็มีชะตากรรมไม่ต่างอะไรกับ ซูมี, น้องสาวและแม่ของเธอ ผิดกันแต่ว่า ในกรณีของผีแม่ลูกจูออนนั้น เป็นฝ่ายหญิงที่นอกใจสามี และถูกจับได้ เลยต้องมีจุดจบดังที่เล่ามา


และมีคำถามหนึ่งผุดขึ้นในใจทันทีที่ทนดู “จูออน” จนจบ นั่นคือ บ้านของดร.นิด้าคนที่ใช้ไม้กอล์ฟตีเมียจนตายนั้น คงมีผีผู้หญิงที่กระดูกหักหมดทั้งตัว คลานไปคลานมา และคอยออกมาหลอกหลอนสามีผู้ที่กฎหมายทำอะไรไม่ได้ เพียงเพราะเขาเป็นผู้ที่ “ทำคุณประโยชน์ให้สังคม” และมีคุณค่ามากเกินกว่าที่จะต้องมาติดคุก เพราะดันถูกโทสะจริตครอบงำจนฆ่านังเมียหลายใจตาย และบางทีแม้นรกจะไม่ต้อนรับ แม้สวรรค์จะไม่นำพากับดวงวิญญาณอาฆาตแค้นของ “ซายาโกะ” ผีตัวแม่ใน “จูออน” แต่เราคนดูคงรับรู้ได้ว่า เธอคือตัวแทนของเหยื่อที่ถูกความรุนแรงในครอบครัวทำร้ายอย่างไร้คำอุธรณ์.....

Eternal Summer...ความรักก็เหมือนเชื้อรา

หากพูดถึงหนังเกย์ขึ้นมา หนังเกย์สัญชาติไต้หวันจะถูกนึกถึงก่อนเป็นอันดับแรกๆ เพราะถ้าวัดกันในแถบเอเชียแล้ว ไต้หวันเป็นประเทศที่ทำหนังเกย์ได้ดีที่สุด (แถมยังผลิตหนังเกย์ออกมาให้คนดูอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ไม่ใช่มาเป็นพักๆ แบบหนังเกย์บ้านเรา) ที่สำคัญหนังเกย์ไต้หวัน มีหลากหลายแนวให้เลือกดู ทั้งโรแมนติก คอมเมดี้ ทั้งชีวิต เครียดขรึม และหนังแบบ coming of age ของคนเป็นเกย์...อย่างง ว่าทำไมมาชวนคุยเรื่องหนังเกย์ มันน่าสนใจตรงไหน นอกจากผู้ชายรักกัน...มันน่าสนใจแน่นอน เพราะหนังเกย์มันมีแง่มุมขัดแย้งของมนุษย์อยู่สูงมาก และน่าศึกษาเป็นที่สุด



เรื่องที่อยากแนะนำ และภูมิใจนำเสนอมากๆ คือ “Eternal Summer” ที่เคยฉายในโรงหนังบ้านเราไปเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งถ้าหากใครเคยประทับใจกับบทอัศจรรย์ในเต็นท์กลางป่า กลางเขาจากหนังเกย์คาวบอย “Brokeback Mountain” ของ "อั้งลี่" รับรองว่าจะต้องอึ้ง ทึ่ง เสียว มากกว่า กับบทอัศจรรย์ของคู่พระเอก - นายเอก ในเรื่องนี้




หนังเริ่มเปิดเรื่องในตอนที่
คังเจิ้งฉิง (นายเอก) ในวัยประถม บอกกับตัวเองเมื่อเค้าเห็น หยูโฉ่วเหิง (พระเอก) เพื่อนร่วมชั้นสุดเกเร ที่ชอบแกล้งคนอื่น ว่า เพียงแค่ฉันเห็นนาย ฉันก็รู้แล้วว่านายเป็นคนที่พิเศษ แล้วจากนั้นมา เค้าก็เฝ้ามองเพื่อนร่วมชั้นคนนี้อยู่ตลอดเวลาไม่วางตา จนกระทั่ง เจิ้งฉิง ถูกครูประจำชั้นขอร้องให้ช่วยเป็น เทวดาตัวน้อย คอยคุ้มครอง โฉ่วเหิง



เนื่องมาจากหมอบอกว่า โฉ่วเหิง เป็น
โรคสมาธิสั้น อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เค้าชอบแกล้งเพื่อนอยู่ตลอดเวลา และวิธีที่จะช่วยปรับพฤติกรรมของเค้าได้ ก็คือให้โฉ่วเหิง ได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ ได้เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น....แม้ตอนแรกที่ได้ยินครูขอร้องอย่างนั้น เจิ้งฉิง จะทำหน้าอึ้งๆ เหมือนไม่ค่อยเต็มใจ ทว่าตั้งแต่นั้นเค้าก็ทำหน้าที่เป็น เทวดาตัวน้อย ให้ โฉ่วเหิง ตลอดมา จนกระทั่งทั้งคู่เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา และเรียนด้วยกันในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง



เมื่อโตเป็นหนุ่ม โฉ่วเหิง ที่เคยเกเร และไม่มีใครอยากคบด้วย กลับกลายเป็นดาวของโรงเรียน เพราะเค้าเล่นบาสเกตบอลเก่งมากๆ จนกระทั่งมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเสนอจะมอบทุนนักกีฬาให้แก่เค้า ขณะที่ เจิ้งฉิง นั้นสนอกสนใจอยู่กับการทำหนังสือพิมพ์ของโรงเรียน ที่ซึ่งทำให้เค้าได้พบกับ
ฮุ่ยเจีย สาวน้อยที่เพิ่งย้ายมาจากฮ่องกง และมีปัญหาครอบครัวแตกแยก.....ฮุ่ยเจีย นั้นประทับใจ เจิ้งฉิง ที่อ่อนโยน และคอยเอาใจใส่ดูแลเธออยู่ตลอดเวลา จนกระทั้งวันหนึ่ง ทั้งคู่โดดเรียนไปเที่ยวไทเปด้วยกัน และเข้าพักในเลิฟโฮเต็ลแห่งหนึ่ง......



และในเลิฟโฮเต็ลแห่งนั้นนั่นเอง เจิ้งฉิง และ ฮุ่ยเจีย เกือบจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน แต่เป็น เจิ้งฉิง ที่ถอนตัวออกมาก่อน ทิ้ง ฮุ่ยเจีย ให้ตกอยู่ในความงุนงง สับสน ไม่เข้าใจว่า เจิ้งฉิง เป็นอะไรไป จนกระทั่งทั้งคู่เจอกันที่โรงเรียนในวันต่อๆ มา ฮุ่ยเจีย ก็ค่อยๆ รับรู้ได้ว่า ที่แท้แล้ว คนที่ เจิ้งฉิง หลงรัก ก็คือ โฉ่วเหิง นั่นเอง !



เจิ้งฉิง หมกหมุ่นและสับสนในความรู้สึกของตัวเองอยู่เกือบตลอดทั้งเรื่อง ส่วน โฉ่วเหิง ก็ได้แต่งง ที่เห็นเพื่อนรักพยายามตีตัวออกห่าง ซึ่งแรกๆ เค้าคิดว่า เจิ้งฉิง โกรธที่เค้าหันไปคบกับ ฮุ่ยเจีย ที่เค้าเข้าใจเอาเองว่า เธอเป็นแฟนเก่าของ เจิ้งฉิง.....และขณะที่อีกคนพยายามผลักไสให้ออกห่าง แต่อีกคนกลับพยายามฉุดรั้งให้เข้ามาใกล้ ในที่สุดความสัมพันธ์ของพวกเค้าก็มาถึงจุดแตกหัก และไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมอีกต่อไป.....



โดยส่วนตัวคิดว่า
“Eternal Summer” สวยงามกว่า “Brokeback Mountain” ตรงที่มันมีอะไรมากกว่าแค่ความเหงาชั่ววูบ ที่นำพาไปสู่ความสัมพันธ์อันล้ำลึกที่ยากจะลืม แบบที่เป็นไปใน Brokeback ....และนอกจากจะไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบแล้ว ความรักใน “Eternal Summer” ยังค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาผ่านกาลเวลา และผ่านการบ่มเพาะอยู่ในขวดแก้วบางๆ เหมือนเชื้อรา ที่แพร่ขยายและสานสายใยเกาะเกี่ยวกันเอาไว้ จนกระทั่งไม่มีใครสามารถมีชีวิตอยู่ได้ โดยที่ขาดอีกคนหนึ่งไป.....



หนังจบไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก เพราะมันทิ้งอะไรไว้ให้เราตีความมากมาย แต่เรื่องที่ทิ้งไว้ให้ตีความนั้น ก็ไม่ได้ยากเย็นจนเกินเข้าใจ เพราะขอเพียงแค่เราเคยรักใครสักคนอย่างจริงใจ และล้ำลึกมากพอ เราก็จะเข้าใจความรักที่ เจิ้งฉิง มีต่อ โฉ่วเหิง...ความรักที่ โฉ่วเหิง มีต่อ เจิ้งฉิง และ ฮุ่ยเจีย รวมทั้งความรักที่ ฮุ่ยเจีย มีต่อ เจิ้งฉิง ด้วย



และขอบอกเพิ่มเติมด้วยว่า "หนังเกย์" นั้น ไม่ใช่เกย์ก็ดูได้ และเชื่อเถอะว่าดูแล้วจะ "ได้" อะไรกลับมาแน่ๆ








อดีต สว่าง กระจ่างใส



คุณอาจจะเคยเก็บสะสมชุดนักเรียนเก่าๆ ของลูกเอาไว้เพื่อเตือนให้ระลึกถึงแต่ละช่วงวัยของลูก.... คุณอาจจะเคยเก็บฟันน้ำนมของลูกเอาไว้ดู แล้วทำอย่างกับว่ามันเป็นซากอารยะธรรมของมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์....หรือคุณอาจจะเคยเก็บรวบรวมรูปถ่ายเก่าๆ เมื่อสมัยที่ตัวเองยังเป็นเด็ก หรือเมื่อครั้งพ่อแม่คุณยังเป็นวัยรุ่นอยู่เอาไว้ดูเล่น....แล้วคุณรู้หรือไม่ว่าสิ่งของเหล่านั้นไม่ใช่แค่เพียงทำหน้าที่เป็นของที่ระลึกในคืนวันเก่าๆ เท่านั้น แต่มันยังทำหน้าที่เหมือนภาชนะที่กักเก็บอดีตเอาไว้ เพื่อรอวันปลดปล่อยออกมาอีกด้วย


“โจนาธาน ซาฟราน ฟอร์” (แสดงโดย "อีไลจาห์ วู้ด") หนุ่มหน้าเอ๋อจากครอบครัวชาวยิวขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ผู้ชอบตามเก็บสะสมทุกสิ่งทุกอย่างของคนในครอบครัวตัวเอง รวมทั้งข้าวของต่างๆ ที่พบเจอตามรายทาง เอาไว้เป็นคอลเลคชั่นส่วนตัว แบบเดียวกับที่บางคนเก็บสะสมโมเดลหุ่นยนต์ หรือโปสเตอร์หนังนั่นแหละ ผิดกันแต่ว่าของที่โจนาธานเก็บสะสมเอาไว้แต่ละอย่างล้วนแล้วแต่เป็นของประหลาดๆ ทั้งนั้น และมักจะเป็นสิ่งที่เจ้าของไม่ต้องการจะใช้อีกแล้ว ของซึ่งคนอื่นคงจะมองว่าเป็นเพียงขยะ อาทิ ถุงยางอนามัยใช้แล้ว.... แผงยาที่กินไม่หมดและน่าจะหมดอายุไปตั้งนานแล้วด้วย... ลูกโป่งยางเก่าๆ เหี่ยวๆ.... เหรียญรางวัลที่เจ้าของของมันคงจะโตเกินกว่าที่จะมานั่งภูมิอกภูมิใจกับชัยชนะเล็กๆ ในวัยเด็กที่ไม่สลักสำคัญอะไรกับเขาอีกแล้ว....โจนาธานเก็บของเหล่านั้นไว้ในถุงพลาสติกใส แล้วติดมันไว้บนฝาผนังห้องจนเต็มไปหมด จนแทบจะมองไม่เห็นแล้วด้วยซ้ำ ว่าผนังห้องๆ นั้นมันเป็นสีอะไรกันแน่



กระทั่ง โจนาธาน ได้รับของสะสมชิ้นใหม่จากย่าผู้ใกล้ตายของเขา เป็นล็อคเก็ตห้อยคอแบบโบราณ และรูปเก่าๆ ซีดเหลืองใบหนึ่งที่คนในภาพเป็นชายหนุ่มผู้มีหน้าตาเหมือนกับตัวเขาเองอย่างกับแกะ ซึ่งย่าบอกกับเขาว่า นั่นคือปู่ของเขาเมื่อตอนหนุ่มๆ สมัยยังอยู่ที่ประเทศยูเครน ในภาพนั้นปู่ของเขายืนอยู่กลางทุ่งหญ้ากับหญิงสาวสวยคนหนึ่งที่ย่าบอกว่า เธอคือผู้ช่วยชีวิตปู่ของเขาให้รอดพ้นจากการถูกนาซีเยอรมันฆ่าตาย จะเปรียบเธอเป็นเหมือนผู้มีพระคุณของครอบครัว “ฟอร์” เลยก็ว่าได้ เพราะหลังจากรอดตาย ปู่ของเขาก็ได้อพยพลี้ภัยมาอาศัยอยู่ในอเมริกาดินแดนแห่งโอกาส และมีชีวิตที่สุขสบายจนกระทั่งสิ้นลม



ด้วยความชอบเก็บสะสมข้าวของ และพินิจพิเคราะห์ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัว โจนาธาน จึงลองเอาแว่นขยายส่องดูรูปใบนั้นใกล้ๆ อีกครั้ง และก็พบว่าจี้ที่ผู้หญิงในภาพห้อยอยู่ที่คอของเธอ เป็นจี้อันเดียวกับที่อยู่ในมือของเขาซึ่งได้มาพร้อมกันกับรูปใบนั้นนั่นแหละ และเพราะรูปเก่าๆ ใบนั้น กับจี้ปริศนาอันนั้นนั่นเอง ก็ทำให้ชายหนุ่มผู้ใส่แต่เสื้อสูทสีดำสนิท กับแว่นตากรอบดำอันโต และมีทีท่าเหมือนเด็กเนิร์ดอย่างเขา ตัดสินใจเดินทางไปประเทศยูเครน เพื่อตามรอยอดีตของปู่ และตามหาผู้หญิงสาวสวยในภาพคนนั้นที่ย่าบอกว่าเธอชื่อ "ออกุสติน”



แต่การเดินทางตามหาหมู่บ้านที่เคยมีอยู่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ในประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจสังคม และการเมืองการปกครองอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย เพราะหลังจากขับรถออกจากสถานีรถไฟไปได้สักระยะ โจนาธาน ก็พบว่าหมู่บ้าน “Trachimbrod” ที่ปู่ของเขาเคยอาศัยอยู่นั้น ได้หายไปจากแผนที่ของประเทศยูเครนเสียแล้ว!!...



ทว่าในที่สุด ด้วยความพยายามแบบมั่วๆ ของผู้นำทางซึ่งเป็นเด็กหนุ่มกวนประสาท อายุรุ่นราวคราวเดียวกับโจนาธาน ผู้มาพร้อมกับปู่และหมาเจ้าอารมณ์อีก 1 ตัว... โจนาธาน ก็ได้พบกับ “ใครบางคน” ผู้อาศัยอยู่ในบ้านที่ตั้งอยู่กลางทุ่งดอกทานตะวันอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา...ดอกทานตะวันเหล่านั้นเยอะซะจนเหมือนกับว่าเจ้าของบ้านน้อยหลังนั้น กำลังตั้งเรดาร์ตามหาแสงสว่างจากพระอาทิตย์ก็ไม่ปาน... ซึ่งในที่สุดเจ้าของบ้านหลังนั้นก็ได้พบกับแสงสว่างที่ว่านั่น และ โจนาธานนั่นเองที่เป็นผู้นำมันมา




เพราะนอกจากโจนาธานจะตามหาอดีตของปู่ตัวเองจนเจอแล้ว “คน” ที่เขานำมาด้วยยังได้ช่วยปลุกอดีตอันงดงามของ “ใครบางคน” ให้ตื่นขึ้นมารับแสงแดดอันเรืองรองตอนเช้าๆ ไปพร้อมกับดอกทานตะวันอีกด้วย....



/////////////////////////////////



“Everything Is Illuminated” เป็นหนังเล็กๆ ที่สร้างในปี 2005 จากนวนิยายชื่อเดียวกันของนักเขียนหนุ่มชาวอเมริกันเชื้อสายยิว “โจนาธาน ซาฟราน ฟอร์” (ชื่อเดียวกับตัวละครในเรื่อง) โดย “โจนาธาน” ได้รับแรงบันดาลใจในการเขียนนวนิยายเรื่องนี้มาจากการกลับไปค้นคว้าเรื่องราวชีวิตของปู่ตัวเองที่ยูเครนประเทศบ้านเกิดของปู่ ซึ่งมันคงทำให้เขาเกิดจินตนาการถึงมิตรภาพอันสวยงามบางอย่าง ที่ก่อกำเนิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายอันยิ่งใหญ่ของชาวยิว..... “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” นั่นเอง



หนังเคยเข้ามาฉายในบ้านเราเมื่อประมาณ 2- 3 ปีก่อน (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะฉายที่ลิโด้) แต่แม้จะนานมากแล้ว และไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนัก แต่ก็ยังพอจะหาแผ่นดีวีดีและวีซีดีที่วางขายอยู่ตามร้านใหญ่ๆ และตามกระบะลดราคามาดูได้อยู่ ซึ่งถ้าใครหามันจนเจอและได้ดู ขอบอกว่าแม้คุณอาจจะงงๆ กับเรื่องราวในหนังอยู่บ้าง แต่พอถึงฉากทุ่งดอกทานตะวันที่ว่า มันจะทำให้คุณลืมความงงของหนังไปเลยแหละ...เพราะมันสว่าง กระจ่างใส สมกับชื่อหนังจริงๆ









Penelope: คำสาปจะร้ายแรงหรือไม่ อยู่ที่ว่า เราใส่ใจมันรึเปล่า

นางสาว “เพเนโลปี้ วิลเฮิร์นส” เป็นสาวน้อยที่เกิดมาในตระกูลผู้ดีมีเงิน แต่ดันโชคร้ายมีจมูกเหมือนหมู เพราะต้องคำสาปจากนางแม่มดเฒ่า ผู้โกรธแค้นบรรพบุรุษตระกูล “วิลเฮิร์นส”ของเธอที่มาผูกสัมพันธ์รักใคร่กับลูกสาวของนางซึ่งเป็นสาวใช้ในบ้าน “วิลเฮิร์นส” และประกาศจะแต่งงานกับสาวใช้ผู้นั้น แต่สุดท้ายเพราะความแตกต่างทางด้านชนชั้น เขาจึงต้องทอดทิ้งลูกสาวของนางแม่มด แล้วไปแต่งงานกับหญิงสาวที่มีฐานะทัดเทียมกันแทน ทำให้ลูกสาวของนางแม่มดเสียใจจนถึงกับฆ่าตัวตายประชดความรักที่ไม่สมหวัง ด้วยเหตุนี้นางแม่มดจึงสาปแช่งให้คนตระกูล “วิลเฮิร์นส” ต้องพบกับความเจ็บปวดเสียบ้าง นางสาปว่า เมื่อใดก็ตามที่คนในตระกูลนี้ให้กำเนิดลูกสาวออกมา ขอให้ลูกสาวของตระกูล “วิลเฮิร์นส” มีใบหน้าเป็นหมูน่าเกลียด น่าชัง และจะแก้คำสาปนี้ได้ก็ต่อเมื่อ มีคนที่ฐานะเท่าเทียมกันกับเธอมารักเธอเท่านั้น





และนับว่าเป็นโชคดีของตระกูล “วิลเฮิร์นส” ที่พวกเขาให้กำเนิดแต่ลูกชายมาตลอดห้าชั่วอายุคนที่ผ่านมา จึงรอดพ้นจากคำสาปของนางแม่มดเฒ่ามาได้ กระทั่งมาถึงคนรุ่นที่ 6 ของตระกูล พวกเขาก็ให้กำเนิดลูกสาวออกมาจนได้ และแน่นอนว่าในที่สุดคำสาปก็ได้ทำหน้าที่ของมันเสียที เพราะทารกน้อยที่ออกมาจากท้องของมารดานั้น มีหน้าตาไม่ต่างอะไรกับหมูอู๊ดๆ ที่อยู่ในเล้าเลยแม้แต่น้อย เล่นเอา “เจสสิก้า” ผู้เป็นแม่ที่แม้จะรู้อยู่แล้วว่าหากลูกของตัวเองเกิดมาเป็นหญิง จะต้องมีหน้าตาเป็นยังไง ก็ยังมิวายที่จะแหกปากร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนกตกใจ



และทันทีที่ผู้เป็นแม่พักฟื้นจากการคลอดลูกจนแข็งแรงขึ้นแล้ว เธอก็รีบหอบลูกไปหาศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที เผื่อว่าหมอจะพอหาทางผ่าตัดศัลยกรรมจมูกที่ย่นและยกรั้งขึ้นเหมือนหมูนั้นออกไปได้ และมอบใบหน้าใหม่ที่สวยงามให้กับลูกสาวของเธอแทน แต่เมื่อหมอเอ็กซเรย์ใบหน้าของเด็กน้อยออกมาดูแล้ว ปรากฏว่าจมูกหมูนั้นมีเส้นเลือดสำคัญๆ เชื่อมโยงกันอยู่เต็มไปหมด มันไม่ใช่เพียงหน้ากากหมูที่สวมในวันฮัลโลวีนที่นึกจะถอดออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ สามีภรรยา “วิลเฮิร์นส” เลยจำต้องยอมรับสภาพความขี้ริ้วขี้เหร่ของลูกสาวตัวเอง และตั้งชื่อให้เด็กน้อยว่า “เพเนโลปี้”


เพราะความผิดปกติของใบหน้านี่เอง หนูน้อย “เพเนโลปี้” เลยถูกเลี้ยงมาให้เติบโตอยู่แต่ในบ้าน ไม่เคยได้ออกไปวิ่งเล่นท่ามกลางแสงแดดข้างนอกบ้านตามประสาเด็กวัยกำลังซนเลย เพราะ “เจสสิก้า” แม่ของเธอหวั่นเกรงว่าลูกสาวจะถูกเด็กคนอื่นแกล้ง และล้อเลียน “เจสสิก้า” วิตกกังวลมากจนถึงกับต้องแกล้งทำเป็นฝังและเผาโลงศพเปล่าๆ ของลูก เพียงเพื่อลวงให้สื่อมวลชนกระหายเลือดที่จ้องจะเปิดโปงเรื่องน่าอายของตระกูลผู้ดี หลงเชื่อว่าลูกสาวผู้แปลกประหลาดของตระกูล “วิลเฮิร์นส” ได้ตายไปแล้ว



และเมื่อ “เพเนโลปี้” เติบโตเป็นสาวสะพรั่ง ผู้เป็นแม่ก็ได้พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหาคู่ที่มีฐานะเท่าเทียมกันมาแต่งงานกับลูกสาวให้ได้ เพื่อจะได้ลบล้างคำสาปดึกดำบรรพ์นั่นไปซะ และคืนใบหน้าสวยสดใสให้กับ “เพเนโลปี้” เสียที ปฏิบัติการตามล่าหาหนุ่มหล่อตระกูลผู้ดีจึงเริ่มขึ้น ชายหนุ่มเกรดเอคนแล้วคนเล่าถูกเชิญให้มาพูดคุยกับ “เพเนโลปี้” ในห้องที่ติดกระจกเงาบานใหญ่เอาไว้ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วกระจกเงาบานนั้น คือกระจกสองด้าน ที่ชายหนุ่มในห้องจะมองไม่เห็นเลยว่า “เพเนโลปี้” ที่พวกเขาคุยด้วย กำลังนั่งมองกิริยาท่าทางของพวกเขาอยู่หลังกระจกบานนั้นนั่นเอง


และเมื่อการพูดคุยดำเนินไปได้สักระยะหนึ่ง “เพเนโลปี้” ก็จะเดินออกมาจากห้องลับของเธอ เพื่อให้ชายหนุ่มที่คุยด้วยได้ยลโฉม ซึ่งเมื่อพิธีการดูตัวดำเนินมาถึงขั้นตอนนี้ ทุกๆ คนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ของเธอ พ่อบ้านผู้ดูแลครอบครัวเธอมานานแสนนาน และแม่สื่อผู้พยายามอย่างที่สุดที่จะหาคู่ดีๆ มาให้เธอ ต่างก็นั่งลุ้นกันตัวเกร็งอยู่หน้าโทรทัศน์วงจรปิด ว่าชายหนุ่มรายนี้จะวิ่งหนีป่าราบออกไปอีกรึเปล่า เมื่อได้เห็นใบหน้าแบบ “หมูๆ” ของนางสาว “เพเนโลปี้”....และความเป็นจริงก็คือ ไม่มีหนุ่มคนไหนที่ไม่วิ่งหนีออกไปเลย เมื่อได้เห็นหน้าเธอ!!





การโดนปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่านี่เอง ที่สั่นคลอนโลกใบเล็กๆ ของ “เพเนโลปี้” โลกที่แม่ของเธอสร้างให้ และจับเธอยัดเข้าไปในนั้น... โลกที่แม่ของเธอเฝ้าแต่ฝันว่า สักวันคงจะมีผู้ชายดีๆ มารัก “เพเนโลปี้” แม้ว่าเธอจะมีหน้าตาเหมือนหมูก็ตาม...แต่ “เจสสิก้า” ผู้เป็นแม่ไม่ได้รู้เลยว่า การโดนปฏิเสธจากใครก็ไม่สร้างความเจ็บปวดให้กับ “เพเนโลปี้” เท่ากับที่โดนแม่แท้ๆ ของตัวเองปฏิเสธ...เพราะ “เจสสิก้า” นั้นเฝ้าแต่ย้ำคิดย้ำทำว่าลูกของตัวเองไม่สวย ลูกของตัวเองผิดปกติ สมควรจะถูกเก็บไว้แต่ในบ้านเท่านั้น และคงไม่มีวันจะพ้นจากอ้อมอกของเธอไปได้ เพราะลูกทำอะไรไม่เป็น





แต่สุดท้ายด้วยแรงฮึดที่อยากจะออกไปจากกรงทอง ออกไปเจอโลกภายนอกกับเค้าบ้าง... “เพเนโลปี้” ก็ตัดสินใจขโมยเครดิตการ์ดของแม่ แล้วแอบหนีออกจากบ้านมาตอนกลางดึก และทันทีที่เธอเปิดประตูรั้วบ้านที่กั้นเธอไว้จากโลกภายนอก ออกไปสู่ถนนอันคลาคล่ำในยามราตรี ความสวยงามตระการตาของเมืองใหญ่ก็ทำให้เธอถึงกับตะลึงงัน!!! โลกภายนอกไม่เห็นจะน่ากลัวเหมือนที่แม่บอกเลยนี่นา!!!



การตัดสินใจหนีออกจากบ้านเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น เพราะในที่สุดหญิงสาววัย 25 ปี ที่ซ่อนตัวอยู่ในโลกของตัวเองมานานแสนนาน ก็เปิดเผยตัวเองต่อผู้คนและสังคมจนได้ การเปิดเผยตัวเองในครั้งนี้ ทำให้เธอไม่ต้องลำบากลำบนปิดบังหน้าตาอีกต่อไป เธอสามารถเดินไปไหนๆ ก็ได้ ทำอะไรก็ได้ และไม่มีใครกล้ามาล้อเลียนเธอเลยสักคน เพราะ


“เพเนโลปี้” ไม่เคยทำตัวให้คนอื่นรู้สึกว่า เธอ “แปลกประหลาดและน่าสมเพช”.... ที่สำคัญคือการที่ “เพเนโลปี้” กล้าเปิดเผยตัวเองให้โลกได้เห็น ก็เท่ากับเป็นการยอมรับตัวเองอย่างที่ตัวเองเป็น เพราะถ้าตัวของตัวเองไม่คิดว่าตัวเองแปลกประหลาดแล้วล่ะก็ คนอื่นก็จะไม่สนใจมัน และมองข้ามมันไปเหมือนกัน




และเพราะ “เพเนโลปี้” ยอมรับตัวตนของตัวเองได้ เธอจึงชอบที่ตัวเองมีจมูกหมูแบบนั้น และไม่เคยคิดที่จะหาชายสูงศักดิ์คนใดมาแก้คำสาปให้เธอเลย ด้วยเหตุนี้เธอจึงวิ่งหนีออกมาจากงานแต่งงานของตัวเองกับหนุ่มหล่อตระกูลผู้ดีที่นิสัยยอดแย่ และทะเลาะกับ“เจสสิก้า” ผู้เป็นแม่ที่ยังคงหวังจะให้ลูกสาวพ้นจากคำสาปเสียที และยังคงไม่ยอมรับตัวตนของลูกสาวตัวเองอยู่ดี.... สุดท้ายเมื่อแม่ดึงดันมากๆ เข้า “เพเนโลปี้” เลยตะโกนออกมาอย่างเหลืออดว่า “ก็หนูชอบที่เป็นแบบนี้!!!”



พลันที่สิ้นประโยคนั้น คำสาปก็ถูกลบล้างลงไปในทันใด!!!!




ที่แท้วิธีการแก้คำสาปก็แค่ง่ายๆ....แค่ยอมรับตัวเอง และรักตัวเองอย่างที่ตัวเองเป็นก็พอ นั่นก็เท่ากับเป็นการทำให้ทุกคนเท่าเทียมกันได้ในอีกความหมายหนึ่งของนางแม่มดนั่นเอง....ถ้าเราคิดว่าเราปกติ เราก็ปกติ แต่เมื่อใดที่เราคิดว่าเราไม่ปกติ เราก็จะไม่ปกติ.....




ที่แท้คำสาปชั่วร้ายใดๆ ก็จะไม่มีผลกับจิตใจ และชีวิตของเรา หากเราไม่ใส่ใจมันเสียตั้งแต่แรก...



* * * * * * * * * * * * * *



แม้ว่า Penelope จะเป็นหนังที่เคยเข้ามาฉายในบ้านเราเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งทุกคนก็น่าจะรู้จักกันดี แต่ก็ยังอยากจะหยิบมาเขียนถึงอยู่ดี เพราะกำลังรู้สึกสนใจประเด็นการยอมรับตนเองของเด็ก และการที่พ่อแม่พร่ำบอกลูกว่าเค้าไม่ดีอย่างนั้น อย่างนี้ มันจะมีผลต่อการดำเนินชีวิต และจิตใจของเด็กยังไงบ้าง หนังเรื่องนี้อาจจะชี้ประเด็นที่ว่าเบาไปนิด เพราะมันคือหนังรักโรแมนติคที่เดินตามสูตร แต่ก็ยังมีอะไรหลงเหลือไว้ให้คนที่เป็นพ่อแม่ และคนที่เป็นลูกได้คิดค่ะ นอกเหนือไปจากเรื่องราวความรักแบบหนุ่มสาว

The Bandage Club: ผ้าพันแผลสำหรับบาดแผลที่มองไม่เห็น





เมื่อเราถูกมีดบาดมือ และมีเลือดไหลออกมาแดงฉาน เราก็คงจะรีบเดินไปหยิบผ้าพันแผลมาพันมือเอาไว้ เพื่อห้ามเลือด และป้องกันเชื้อโรคเข้าไปในแผล



แต่ว่าถ้าหากใครสักคนมีบาดแผลเกิดขึ้นที่หัวใจล่ะ เราควรจะเอาผ้าพันแผล ไปพันให้เขาที่ตรงไหนดี....ที่หัว....ที่ไหล่...หรือว่าที่หน้าอก.... แต่ไม่ว่าจะเอาไปพันไว้ที่ไหน เลือดก็ยังไม่หยุดไหล และบาดแผลในใจนั้นก็ยังไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอยู่ดี เพราะมันไม่ใช่บาดแผลที่มองเห็นได้ทั่วไป แต่เป็นบาดแผลที่อยู่ลึกลงไปข้างใน ลึกลงไป ลึกลงไป จนไม่มีใครรู้ว่ามันอยู่ตรงไหนกันแน่ ดังนั้นมันจึงเป็นบาดแผลที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น และถ้าหากใครสักคนอยากจะมองเห็นบาดแผลที่ว่านั่น สิ่งที่เขาต้องใช้เพื่อที่จะมองให้เห็นบาดแผล จึงไม่ใช่ดวงตา แต่เป็นหัวใจ....







“วาระ” เป็นเด็กสาวชั้นมัธยมปลายที่อาศัยอยู่กับแม่ และน้องชายในอพาร์ตเมนท์เล็กๆ แห่งหนึ่ง เธอบังเอิญทำมีดบาดข้อมือตัวเอง ตอนที่กำลังจะเฉือนถุงอาหารสำเร็จรูปจากร้านสะดวกซื้อ เพื่อเอามาอุ่นให้ตัวเองกับน้องชายกินเป็นอาหารเย็น ....วันรุ่งขึ้น “วาระ” จึงรีบไปหาหมอที่โรงพยาบาล เพื่อให้หมอช่วยทำแผลให้ แต่หมอกลับเข้าใจว่าเธอเป็นเด็กมีปัญหาที่พยายามจะเชือดข้อมือตัวเอง เพื่อฆ่าตัวตาย “วาระ” ได้แต่อึ้งที่หมอคิดแบบนั้น แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่ได้อธิบายความจริงให้หมอฟัง ว่าเธอได้บาดแผลที่ข้อมือนั้นมายังไง





และบนดาดฟ้าของโรงพยาบาลแห่งนั้น ขณะที่ “วาระ” กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งภวังค์ และปีนขึ้นไปบนราวกั้นของดาดฟ้า เพื่อจะปล่อยผ้าพันแผลที่พันบาดแผล “ฆ่าตัวตาย” ปลอมๆ ของเธอ ให้ล่องลอยไปในอากาศ “วาระ” ก็ได้พบกับเด็กหนุ่มแต่งตัวประหลาดคนหนึ่ง ที่มาพร้อมกับสายน้ำเกลือระโยงระยาง และถามเธอว่า เมื่อกี๊นี้เธอกำลังจะฆ่าตัวตายใช่มั๊ย และเมื่อเห็นผ้าพันแผลของ “วาระ” ที่ลอยไปติดอยู่กับรั้วเหล็กกั้นแถวๆ นั้น เขาก็มองไปที่ข้อมือของเธอ และถามขึ้นมาอีกครั้งว่า เพราะเธอกรีดข้อมือตัวเองแล้วไม่ตายใช่มั๊ย เลยจะมากระโดดตึกแทน





เมื่อได้ยินคำถามแบบนั้น “วาระ” ก็หัวเสียสุดๆ ที่ถูกเข้าใจผิดอีกแล้ว เธอรู้สึกว่าทำไมใครๆ ก็ชอบพูดอะไรโดยไม่คิดถึงจิตใจของอีกฝ่าย และชอบทำเหมือนกับว่าตัวเองเข้าใจชีวิตของคนอื่นเป็นอย่างดี ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วไม่ได้รู้อะไรเลยสักอย่างเดียว.... คำพูดของ “วาระ” ทำให้เด็กหนุ่มประหลาดคนนั้นนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็พูดขึ้นมาว่า “เธอกำลังมีเลือดไหล”..... "วาระ" สงสัยว่าเธอมีเลือดไหลตรงไหนกัน ก็แผลที่ข้อมือมันเริ่มจะแห้งแล้วนี่นา..... "เธอกำลังเลือดไหลที่หัวใจ" เด็กหนุ่มบอกอย่างมั่นใจ “วาระ” เลยบอกกับเขาว่า ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาไม่ห้ามเลือดให้เธอซะล่ะ !!





เด็กหนุ่มประหลาดมองผ้าพันแผลของ “วาระ” ที่เขาถืออยู่ในมือตัวเอง แล้วจู่ๆ เขาก็เอาผ้าพันแผลที่เมื่อ 10 นาทีก่อนมันยังอยู่บนข้อมือของ “วาระ” ไปผูกไว้กับราวระเบียงของดาดฟ้า แล้วปล่อยให้มันปลิวไสวล้อเล่นกับสายลมไปเรื่อยๆ....และทั้งๆ ที่ “วาระ” เองก็เห็นอยู่ว่า เด็กหนุ่มประหลาดคนนั้นแค่ผูกผ้าพันแผลของเธอเอาไว้เฉยๆ ไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรเป็นพิเศษเลยสักนิด แต่ทว่าเมื่อเธอมองไปที่ผ้าพันแผลสีขาว ที่กำลังโบกสะบัดตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าจัดในยามเย็น เธอกลับรู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับว่า “เลือด” ที่มองไม่เห็นกำลังหยุดไหล และ “แผล” ที่มองไม่เห็นก็กำลังได้รับการเยียวยาอยู่





ก่อนจากกันเด็กหนุ่มบอกกับ “วาระ” ว่า เขาชื่อ “อิเดโนะ ทัตซึยะ” หรือ “ดิโนะ” และเขาก็ถามชื่อเธอกลับ แต่ “วาระ” ไม่สนใจจะบอก เธอเดินจากมาโดยไม่ได้บอกชื่อของตัวเองกับเด็กหนุ่ม แถมยังทิ้งท้ายแบบไม่ใยดีว่า “ถ้ามีคนชอบที่นายทำก็คงจะดี” แล้ว “วาระ” ก็เดินจากไปพร้อมกับความสงสัยในใจว่า ความเจ็บปวดในใจเธอมันจางหายไปได้ยังไงกัน กะอีแค่เอาผ้าพันแผลไปผูกไว้กับราวระเบียง





และความสงสัยนี้ก็ยังคงติดอยู่ในใจของ “วาระ” มาโดยตลอด แม้ในภายหลังเธอจะหยิบยืมเอาไอเดียผ้าพันแผลนี้ไปทำให้กับ “ชิโอะ” เพื่อนรักของเธอ ที่เพิ่งจะอกหักมา ด้วยการผูกผ้าพันแผลของเธอไว้บนชิงช้าตัวที่ “ชิโอะ” นั่ง เพื่อรักษาบาดแผลในใจให้กับ

“ชิโอะ” ...และถึงแม้เพื่อนรักจะร้องไห้ด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับได้ระบายความอัดอั้นตันใจออกมาจนหมด แต่ "วาระ" ก็ยังคงค้างคาใจอยู่ดี ว่าแค่การเอาผ้าพันแผลไปผูก ไปพันไว้ในสถานที่ที่ทำให้เกิดบาดแผลในใจ มันจะช่วยเยียวยาหัวใจที่เจ็บปวดได้จริงหรือ





และทั้งๆ ที่ยังไม่เชื่อในเรื่องการผูกผ้าพันแผลให้กับสถานที่ที่ทำให้ผู้คนเจ็บปวด แต่ “วาระ” ก็ยังตาม “ชิโอะ” กับ “กิโมะ” เพื่อนผู้ชายอีกคน ไปตั้งชมรม “ผ้าพันแผล” ขึ้นอยู่ดี เพราะเพื่อนๆ ของเธอรู้สึกว่า มันเป็นความคิดที่เจ๋งมาก ในการช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ในใจให้กับคนอื่น พวกเขาไปชักชวน “ดิโนะ” ผู้เป็นคนต้นคิดของเรื่องนี้มาเข้าร่วมชมรมด้วย และไปตาม “ริสกี้” หรือ “ริสซึกิ” อดีตเพื่อนซี้ร่วมกลุ่มของ “วาระ” กับ “ชิโอะ” มาเข้าร่วมด้วยอีกคน





พวกเขาทั้ง 5 คน ตั้งเว็บไซต์ของชมรมขึ้นมา และเปิดรับคำร้องขอจากผู้คนที่ต้องการให้พวกเขาไปพันผ้าแผลให้ ณ สถานที่ที่ทำให้เกิดบาดแผลในใจ โดยเมื่อพันผ้าพันแผลให้กับสถานที่นั้นๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็จะถ่ายรูปสถานที่แห่งนั้นที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาวบริสุทธิ์ ส่งไปให้แก่ผู้ร้องขอ ร่วมทั้งโพสต์รูปเหล่านั้นไว้บนเว็บไซต์ของชมรมด้วย หากเจ้าของเรื่องอนุญาต ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานี้ “ชมรมผ้าพันแผล” ไม่คิดค่าใช้จ่ายกับผู้ร้องขอเลยสักเยนเดียว....พวกเขาทำตัวเหมือนกับเป็นองค์กรไม่หวังผลกำไร





จนมาวันหนึ่ง “วาระ” ก็เริ่มจะได้คำตอบแล้วว่า ทำไมการออกไปพันผ้าแผลให้กับบาดแผลในใจของคนอื่น ถึงได้เป็นการช่วยเยียวยาหัวใจที่บาดเจ็บให้กับคนเหล่านั้นได้ เมื่อมีเด็กสาวคนหนึ่งส่งคำขอมายังพวกเขา ว่าให้ช่วยไปพันผ้าพันแผลที่ร้าน “รูบิคอน” ที่ปัจจุบันเป็นตึกร้างไปแล้วให้หน่อย โดยที่เด็กสาวผู้นั้นไม่ยอมบอกเหตุผลที่เธอขอให้พวก “ชมรมผ้าพันแผล” ช่วยไปที่นั่น แต่ “กิโมะ” พอจะรู้เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในสถานที่แห่งนั้นอยู่บ้าง “ฉันเคยได้ยินมาว่า มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งถูกข่มขืนที่นั่น....”





เมื่อสมาชิก “ชมรมผ้าพันแผล” ไป

ถีงร้าน “รูบิคอน” พวกเขาก็ถึงกับอึ้ง

กันไปพักใหญ่ เมื่อต้องพบเจอกับเศษซากของความเกลียดชัง และความรุนแรงในสถานที่แห่งนั้น.... มันมีทั้งไม้เบสบอลเก่าๆ ที่ดูเหมือนจะเปื้อนเลือดเสียด้วย แล้วยังมีขวดสีสเปรย์ พร้อมทั้งถ้อยคำหยาบคายที่ถูกพ่นเอาไว้บนกำแพงว่า “ฉันจะฆ่าแก” และเศษเสื้อผ้าผู้หญิง กับเสื้อชั้นในเก่าๆ ตัวหนึ่งที่ถูกวางทิ้งเอาไว้บนโซฟา เหมือนมันเป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์เลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นที่นี่อย่างไร อย่างนั้น....





แต่แม้จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นที่นั่น ทว่าพวก “ชมรมผ้าพันแผล” ก็ยังไม่รู้ว่าคราวนี้พวกเขาจะจัดการกับความเจ็บปวดในหัวใจของผู้ร้องขอรายนี้ยังไงดี เพราะมันไม่ใช่แค่การโหนราวไม่ขึ้น หรือยิงลูกฟุตบอลเข้าประตูตัวเอง ซึ่งเป็นบาดแผลในใจของผู้ร้องขอรายก่อนๆ ที่รักษาให้หายได้ง่ายกว่ากรณีนี้.... และเพราะทุกคนมัวแต่นิ่งอึ้งกันอยู่ นี่เอง “ดิโนะ“ จึงเกิดช่วงสุญญากาศขึ้นมา และเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับความสูญเสียของผู้ร้องขอรายนี้ จนถึงกับทำลายข้าวของที่อยู่ในนั้นอย่างบ้าคลั่ง ด้วยเหตุผลว่า “กับสถานที่แบบนี้ ผ้าพันแผลจะไปช่วยอะไรได้”





แต่ในขณะที่ “ดิโนะ” กำลังตกอยู่ในช่วงสุญญากาศที่บ้าคลั่ง “กิโมะ” กลับตกอยู่ในช่วงสุญญากาศที่โศกสลดแทน เพราะเขาได้พบสิ่งของบางอย่าง ที่ไปสะกิดบาดแผลในใจของเขาขึ้นมาเหมือนกัน..... มันคือ “หลอดแก้ววิทยาศาสตร์” ที่เชื่อมโยงเข้ากับเรื่องราวเลวร้ายในอดีต ที่ยังคงฝังอยู่ในใจของ “กิโมะ” มาจนถึงปัจจุบัน และเพราะความทรงจำที่เลวร้ายของตัวเองถูกปลุกขึ้นมา “กิโมะ” จึงสามารถเข้าใจถึงความเจ็บปวดของผู้ร้องขอรายนี้ได้ดีกว่าเพื่อนคนอื่นๆ และรู้ว่าคราวนี้พวกเขาควรจะต้องจัดการกับ “สถานที่ที่ทำให้เกิดบาดแผลในใจ” ยังไงดี





และนั่นเองที่ทำให้ “วาระ” ได้พบกับคำตอบที่ว่า ทำไมเธอถึงรู้สึกดีขึ้นมา เมื่อมองไปยังผ้าพันแผลที่ “ดิโนะ” เอาไปผูกไว้กับราวระเบียงบนดาดฟ้าของโรงพยาบาลเมื่อคราวก่อน.....เธอเข้าใจแล้วว่า การที่ผ้าพันแผลนั้นถูกผูกโดยใครสักคนที่เข้าใจถึงความเจ็บปวดของคนอื่นอย่างแท้จริง เสมือนว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง และไม่มองเห็นความเจ็บปวดของคนอื่นเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยขี้ปะติ๋ว มันก็จะทำให้บาดแผลนั้นๆ ได้รับการเยียวยารักษาด้วยมือที่มองไม่เห็น มือของคนที่ใส่ใจ มือที่คนที่มีบาดแผลในใจทุกคนรอคอย....มันคือ “มือของความเข้าใจ” นั่นเอง




เมื่อช่วยเยียวยาบาดแผลในใจให้คนอื่นมากขึ้นๆ “วาระ” และเพื่อนๆ ของเธอที่ดูเหมือนจะมีบาดแผลในใจกันทุกคน ก็เริ่มเข้าใจชีวิต และเริ่มเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นมากขึ้น เช่นกัน อย่างตัว “วาระ” เองนั้น หลังจากที่มักจะทำตัวเย็นชากับแม่ผู้ทำงานหนักของเธออยู่บ่อยๆ สุดท้าย “วาระ” ก็เริ่มเข้าใจแม่มากขึ้นว่า แม่เองก็คงมีความเจ็บปวดฝังอยู่ในใจเหมือนกัน และคงจะมีแต่ลูกๆ เท่านั้น ที่จะช่วยเยียวยามันได้ และแม่ของเธอก็คงกำลังรอคอย “มือของความเข้าใจ” จากเธออยู่เช่นกัน









บางทีการที่คนเราต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดของตัวเองเพียงลำพัง ในสังคมที่ทุกคนสนใจแต่เรื่องของตัวเอง และมองความทุกข์ในใจของคนอื่น เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ไม่สลักสำคัญอะไร จนเมื่อมีใครสักคนยอมปล่อยตัวเองให้จมดิ่งลงไปในความทุกข์ของคนอื่น เหมือนกับว่ามันเป็นความทุกข์ของตัวเองด้วย ก็อาจทำให้ใครสักคนที่กำลังเจ็บปวดอยู่ รู้สึกได้ว่า เขาไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไป...และเมื่อนั้น บาดแผลที่อยู่ในใจก็จะเริ่มจางหาย เลือดจะเริ่มหยุดไหล และรอวันสมานคืนเป็นเนื้อเดียวกัน





*************





Be with Me: อยู่กับฉันเถิดที่รัก แล้วรอยยิ้มของฉันจะไม่จางหายไป




เคยคิดบ้างไหมว่า การต้องมีชีวิตอยู่ในโลกต่อไปเพียงลำพัง โดยปราศจากคนที่รักกันอยู่เคียงข้าง มันจะอ้างว้างและเดียวดายเพียงใด…..


หากวันหนึ่งพื้นที่ๆ ข้างกันในห้องนอน หรือที่นั่งฝั่งตรงข้ามบนโต๊ะอาหาร และในทุกๆ มุมของบ้าน ที่เคยมีคนอีกคนหนึ่งอยู่ตรงนั้นเสมอ และรอให้เราไปพบเจอ ในทุกๆ เช้าที่ลืมตาตื่นขึ้นมา มันกลับว่างเปล่า เหมือนอากาศที่เคยใช้หายใจร่วมกัน ถูกดูดหายไป เหลือไว้เพียงแค่รอยจางๆ ของคนที่จากไป

เท่านั้น…..สิ่งที่เราจะทำต่อไปหลังจากนั้นก็คือ....หลงวนเวียนอยู่กับอดีต และพยายามไขว่คว้ากลิ่นไอจางๆ ของคนที่จากไป หรือว่าเราจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า และพยายามมีชีวิตอยู่ให้ได้ ตามปกติ


เมื่อภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากตายจากไป ทิ้งให้ชายชราเจ้าของร้านขายของชำเล็กๆ ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปในช่วงบั้นปลายเพียงลำพัง ชายชราจึงหมดอาลัยตายอยากที่จะดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามปกติ เขาไม่ยอมทำกระทั่งเปิดประตูลูกกรงของร้านออกไปสู่โลกภายนอก แต่กลับปิดมันเอาไว้อยู่อย่างนั้น และขายของให้ลูกค้าผ่านทางลูกกรงเหล็กนั่นเอง...ประตูเหล็กของร้านก็เปรียบเสมือนหัวใจที่ปิดตายของชายชรา ที่เฝ้าแต่คิดวนเวียนว่า ตัวเองคงจะไม่มีวันได้พบเจอกับความสุข และความรักที่แสนอบอุ่นแบบที่ได้จากภรรยาอีกแล้วในชีวิตที่เหลืออยู่นี้



กระทั่งวันหนึ่งลูกชายคนเดียวของเขามาเยี่ยม และอยู่กินข้าวด้วย เมื่อลูกชายเห็นความหมดอาลัยตายอยากของพ่อแล้ว ก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา เพราะดูเหมือนว่าพ่อของเขายังไม่สามารถทำใจยอมรับได้ว่าแม่ตายจากไปแล้ว เพราะพ่อของเขายังคงทำกับข้าวเผื่อแม่ และยังคงตักข้าวพร้อมกับข้าวที่แม่ชอบมาวางไว้ตรงที่ที่แม่เคยนั่งกินข้าวอยู่เสมอ เหมือนกับว่าที่นั่งข้างๆ พ่อนั้น ยังคงมีแม่นั่งร่วมกินข้าวอยู่ด้วยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เขาจึงเตือนพ่อด้วยความเป็นห่วงว่า “แม่ตายไปแล้วนะพ่อ... ต่อไปนี้พ่อต้องดูแลตัวเองแล้วนะ” แต่นั่นดูเหมือนจะเป็นความจริงที่พ่อของเขาไม่อยากรับรู้ ประตูของชายชราปิดใส่หน้าลูกชายทันที เหมือนประตูร้านชำของชายชราที่ไม่เคยเปิดออกสู่โลกภายนอกอีกเลย ชายชราทำสีหน้าเจ็บปวดอยู่แว่บหนึ่ง แล้วลุกขึ้นจากโต๊ะกินข้าวทันที ทั้งที่ยังกินข้าวไม่เสร็จ


ด้วยเหตุนี้กับข้าวของสองพ่อลูกจึงเหลือ ชายชราเลยเทกับข้าวที่เขาทำอย่างสุดฝีมือ ลงไปในตลับข้าวใบที่เคยใส่ข้าวไปให้ภรรยากิน เมื่อครั้งที่เธอยังมีชีวิตอยู่ และพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ตลับข้าวนั้น ชายชราตั้งใจให้ลูกชายนำไปฝาก “เทเรซ่า” หญิงตาบอดและหูหนวกวัยกลางคนผู้หนึ่ง ที่ลูกชายของเขาบอกว่า กำลังช่วยแปลหนังสืออัตชีวประวัติจากภาษาอังกฤษที่เธอเขียน มาเป็นภาษาจีนให้ ซึ่งหนังสืออัตชีวประวัติที่ว่านี้ ลูกชายได้นำฉบับสำเนาติดมือมาให้พ่ออ่านด้วย เพราะคิดว่ามันน่าจะจุดประกายอะไรให้กับพ่อของตนได้บ้าง... มันเป็นอัตชีวประวัติของหญิงพิการซ้ำซ้อนคนหนึ่ง ที่ยังสามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้เหมือนคนปกติทั่วไป เพราะเธออุทิศตนเป็นครูให้กับเด็กๆ ที่พิการซ้ำซ้อนเช่นเดียวกับเธอ “เทเรซ่า" มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ โดยอยู่กับความคิดที่ว่าเธอยังสามารถทำอะไรให้ผู้อื่นได้อีกบ้าง และไม่ได้มัวแต่เสียเวลาดีๆ อันมีค่าเหล่านั้น ไปกับการก่นด่าโชคชะตาของตัวเองที่เกิดมามีร่างกายไม่ปกติเหมือนคนอื่น


ตอนแรกชายชราไม่ยอมหยิบสำเนาอัตชีวประวัตินั้นขึ้นมาอ่านเลย เขาได้แต่วางมันทิ้งไว้บนหลังตู้.... แต่แล้วใครคนหนึ่งก็ดลใจให้เขาต้องหยิบมันขึ้นมาอ่านจนได้ และจากที่แค่หยิบขึ้นมาพลิกๆ ดูแบบแกนๆ ชายชราก็วางมันไม่ลงอีกเลย เมื่อเขาได้ลองอ่านไปสักสองสามหน้า และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หม้อไห กระทะกระทิงใบเก่าที่เคยใช้ทำกับข้าวแบบครบชุดให้ภรรยากิน ก็ถูกหยิบลงมาใช้อีกครั้ง ชายชราตื่นแต่เช้าไปตลาด เลือกซื้อปลา เลือกซื้อผัก และหมูเห็ดเป็ดไก่ เพื่อนำมันกลับมาทำเป็นอาหารเลิศรสใส่ปิ่นโตเถาเดิมของภรรยา แล้วรอเวลาลูกชายแวะมาเอาปิ่นโตเถานั้นเดินทางไปหา “เทเรซ่า” ที่กินอาหารจากปิ่นโตนั้นอย่างเอร็ดอร่อย พ่อผมทำอาหารเหล่านี้เพราะได้แรงบันดาลใจจากหนังสือของคุณ”


เมื่อชายชราได้อ่านอัตชีวประวัติของ “เทเรซ่า” เขาก็อยากจะทำอะไรดีๆ ให้คนอื่นบ้าง และเขารู้ดีว่าอาหารของตัวเองสามารถทำให้คนกินมีความสุขได้ขนาดไหน เพราะทั้งภรรยาและลูกชายต่างก็มีความสุขเสมอเมื่อได้กินอาหารของเขา ชายชราจึงอยากจะแบ่งปันความสุขเล็กๆ น้อยๆ นี้ให้กับ “เทเรซ่า” บ้าง.....และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ปิ่นโตของภรรยาเขาก็ไม่เคยว่างเปล่าอีกเลย พร้อมๆ กับที่ประตูเหล็กของร้านชำก็เริ่มเปิดกว้างพร้อมจะต้อนรับลูกค้าอีกครั้ง



และแล้วใครบางคนก็หมดห่วง เธอจากไปอย่างสงบได้เสียที.....







ความรักที่มั่นคงและแข็งแรง บางทีอาจไม่ใช่การต้องอยู่ด้วยกันชั่วกัลปาวสาน แต่มันอาจจะคือการที่เราสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปเพียงลำพัง โดยระลึกรู้อยู่เสมอว่าคนที่เรารักไม่ได้จากไปไหน แต่เขายังคงอยู่ในใจเราเสมอ และการที่เราพยายามใช้ชีวิตของเราไปตามปกติ แม้ในวันที่ไม่มีคนรักอยู่เคียงข้าง ย่อมทำให้คนที่เรารักไม่ต้องเป็นห่วง และเป็นกังวลกับเราอีก เพราะเขาย่อมไม่ปรารถนาให้การจากไปของเขา มาทำให้เราปิดกั้นตัวเองจากสิ่งดีงามรอบๆ ตัว และพรากรอยยิ้มอันสดใส ให้เลือนหายไปจากใบหน้าของเราอย่างแน่นอน



เมื่อ “เทเรซ่า” จบอัตชีวประวัติของเธอด้วยประโยคที่ว่า




“อยู่กับฉันเถิดที่รัก แล้วรอยยิ้มของฉันจะไม่จางหายไป”



ชายชราก็คงรับรู้ได้ว่า รอยยิ้มของเขาจะไม่มีวันจางหายไปอย่างแน่นอน เพราะภรรยาของเขายังคงอยู่ในใจเขาเสมอ...




/////////////////////////



"Be With Me" เป็นหนังสิงค์โปร์ปี 2005 ที่ได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างจากเสี้ยวหนึ่งของชีวิต ครูสาววัยกลางคน ผู้พิการทางสายตา และบกพร่องทางการได้ยินนามว่า


“เทเรซ่า จาง” หรือ “จางป๋อหลิน” ซึ่ง “เทเรซ่า” ได้มาแสดงเป็นตัวเธอเองในหนังเรื่องนี้ด้วย....

หนังดราม่านิ่งๆ เรื่องนี้ได้รับการยืนขึ้นปรบมือให้อย่างยาวนานถึง 5 นาที จากผู้ชม ในการฉายโชว์จากการเข้าประกวดในงานเทศกาลหนังเมืองคานส์ ปี 2005 โดยหนังได้รับคัดเลือกให้เข้าประกวดในสายของสมาคมผู้กำกับ


นอกจากตอน “Meant to Be” ของชายชราเจ้าของร้านขายของชำแล้ว ยังมีตอนอื่นๆ อีก 2 ตอนประกอบอยู่ในหนังเรื่องนี้ด้วย








*************

5 แพร่ง : คนที่ฆ่าฉัน



เมื่อเท้าน้อยๆ ของลูกวางอยู่บนฝ่ามือของแม่ มันคือพันธะสัญญาที่คนเป็นแม่จะรับรู้ได้เองโดยอัตโนมัติ ว่านี่คือชีวิตน้อยๆ ที่ตนเองจะต้องดูแล และทะนุถนอมไปตลอดตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจอยู่.....และแน่นอนว่าดวงจิตอันบริสุทธ์ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ของผู้เป็นลูก ก็ย่อมรับรู้ได้ด้วยเช่นเดียวกันว่า “มืออันแข็งแรงแต่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนนี้ จะคอยปกป้องดูแลเขาตลอดไป”....


และด้วยเหตุนี้เองมนุษย์จึงโหยหาอ้อมกอดที่อบอุ่นดั่งครรภ์มารดาอยู่เสมอ และมักนึกถึงผู้เป็นแม่ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เมื่อยามที่รู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะด้วยพันธะสัญญาที่ว่านั้น ลูกย่อมรู้ดีว่า ถ้าแม่สามารถมาปกป้องตนเองได้ แม่ก็จะต้องทำอย่างแน่นอน....แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม




เพล้ง !!!!!!



เมื่อวัตถุหนักทึบอย่างก้อนหินลอยไปปะทะกับกระจกหน้าของรถยนต์ที่กำลังวิ่งสวนมาอย่างรวดเร็ว หินก้อนนั้นก็พุ่งทะลุเข้าไปในตัวรถ แล้วกระแทกเข้ากับศีรษะของคนขับอย่างแรงประหนึ่งปั้นจั่นยักษ์ที่เหวี่ยงเข้าใส่ตึกร้าง เพื่อทุบทำลาย.... เด็กหนุ่มที่ขว้างหินก้อนนั้นรีบลงจากรถมอเตอร์ไซค์ที่เพื่อนขี่ เพื่อไปดูผลงานของตัวเอง และเพื่อฉกชิงทรัพย์สินของเหยื่อที่กำลังรอความตายอยู่ในรถ


แต่พลันที่สายตาของเขาปรับจนชินกับความมืดมิดของท้องถนนในยามค่ำคืน และมองเห็นรถเคราะห์ร้ายคันนั้นเต็มๆ สองตา ความคึกคะนองก่อนหน้าที่จะลงมือปฏิบัติการก็มลายหายไปจนหมดสิ้น สิ่งที่วิ่งเข้ามาแทนที่คือปั้นจั่นยักษ์อันเดียวกันกับที่เหวี่ยงกระแทกเข้าใส่ศีรษะของผู้เคราะห์ร้ายที่อยู่ตรงหน้า...


คนที่นั่งจมกองเลือดอยู่หลังพวงมาลัยรถคันนั้น คือ “พ่อ” ของเขาเอง !!!!!

แม้ภายนอกจะดูก้าวร้าว ดื้อดึงดัน และไม่ยอมใคร แต่แท้จริงแล้วข้างในใจของเป้กำลังคิดอะไรอยู่ แม้แต่ผู้เป็นแม่ก็ไม่เคยเข้าใจ และไม่เคยเข้าถึง เพราะเธอแยกทางกับพ่อของเป้ ไปอยู่กับสามีใหม่ตั้งนานแล้ว และทิ้งลูกชายไว้กับผู้เป็นพ่อตั้งแต่เขายังเล็ก เด็กชายเป้จึงโตขึ้นมากับคำพูดที่พ่อคอยฝังหัวเอาไว้ว่า “แม่แกมันร่าน ถึงได้หนีไปอยู่กับคนอื่น”


จากเด็กชายตัวน้อย ที่มีรอยยิ้มสดใสอยู่ในรูปถ่ายใบที่ผู้เป็นแม่เฝ้าถนอมไว้ในกรอบรูปสวยงาม ค่อยๆ กลายร่างเป็นคนแปลกหน้าของครอบครัว ที่ชิงชังแม่ตนเอง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังอยากได้ความรักจากแม่กลับคืนมา ให้เหมือนเมื่อครั้งที่ตัวเองยังคงเป็นเด็กเล็กๆ ทว่าแทนที่เป้จะแสดงออกให้แม่รู้ว่า เขาต้องการอ้อมกอดอันอบอุ่นของแม่มากแค่ไหน เขากลับสาดคำพูดที่เป็นคมมีดกรีดลงในใจของแม่ และในใจของเขาเอง

“แม่น่ะร่าน....พ่อบอกว่าแม่น่ะร่าน...แม่ไม่ได้ รั ก ผมหรอก !!”




แม่ตบหน้าเป้ฉาดใหญ่ แต่แววตาของเธอเจ็บปวดมาก เพราะลูกชายสุดที่รักเพิ่งตัดพ้อว่าเธอไม่ได้รักเขา ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่จริงเลย แต่คนเป็นแม่ บางทีก็ใช่ว่าจะสื่อสารได้เข้าถึงใจลูกเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเธอเป็นคนทอดทิ้งเขาไปเอง และไม่เคยพยายามจะถมความว่างเปล่าในใจลูกให้เต็มเลยสักครั้ง กระทั่งมันสายเกินไป....


แม่จึงพยายามจะแก้ไขสิ่งผิดพลาดในครั้งนั้น ด้วยการพาเป้ไปบวชในวัดกลางป่า กลางเขาแห่งหนึ่งทางภาคใต้ เพื่อให้ลูกชายรอดพ้นจากเงื้อมมือกฎหมาย ไม่ต้องรับโทษทัณฑ์ ฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่แม่หารู้ไม่ว่า แม้มือของกฎหมายจะเอื้อมมาไม่ถึงตัวเป้ แต่มือของบางสิ่ง กำลังวิ่งไล่ตามเป้มาอย่างกระชั้นชิด และมันจะต้องตามหาเป้จนเจออย่างแน่นอน


เพราะสิ่งนั้นคือ.....


ร ร ม !!!!

เมื่อเณรเป้ถูกทิ้งให้อยู่ในวัดกลางป่า ที่รกเรื้อและเต็มไปด้วยเงามืดทุกทิศทุกทาง ความรู้สึกผิดบาปที่เฝ้ากัดกินใจของเขา และแรงเหวี่ยงจากปั้นจั่นยักษ์ในคืนที่พ่อตาย ยังคงส่งผลรุนแรงอยู่เสมอ ทุกๆ ครั้งที่เขาหลับตา น้ำหนักของก้อนหินในมือ แรงเหวี่ยงของหัวไหล่ ความรู้สึกเมื่อก้อนหินปะทะเข้ากับกระแสลมแรง และเสียงแตกดังเพล้งของกระจกหน้ารถของพ่อ ทุกๆ อย่างยังคงไหลย้อนกลับคืนมาเสมอ และเสมอ




เณรเป้จึงร่ำๆ จะหนีออกจากวัดป่าแห่งนั้นอยู่หลายครั้ง เพราะนอกจากจะกลัวความผิดบาปที่ตามหลอกหลอนอยู่เสมอๆ แล้ว เขายังรู้สึกว่าที่นั่นมีอะไรแปลกๆ ที่มองไม่เห็นอีกด้วย ทั้งตำนานเปรต และพิธีชิงเปรตของคนในท้องถิ่น ทำให้ต้องมี “หลาวชะโอน” (เสาสูงจนแหงนมองคอตั้งบ่า ที่ด้านบนทำเป็นที่วางอาหารและขนมลา เอาไว้เซ่นไหว้ผีเปรตในวันสารทเดือนสิบของภาคใต้) ตั้งอยู่กลางทางเดินใต้ชะง่อนผา ซึ่งจู่ๆ กลางดึกสงัดคืนหนึ่ง เมื่อเณรเป้ออกมาเดินท่อมๆ หาของกิน “หลาวชะโอน” สูงชะลูดนั้นก็หักโค่นลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สร้างความตกใจให้แก่เณรเป้เป็นอันมาก และมันดูเหมือนจะเป็นลางบอกเหตุของอะไรบางอย่าง



แต่เมื่อใดก็ตามที่เณรเป้คิดหนี พระหนุ่มเงียบขรึมรูปหนึ่ง ก็จะต้องเป็นผู้มาพบเขา และพากลับไปยังกุฏิทุกครั้งไป โดยครั้งสุดท้ายที่เณรเป้ถูกพากลับมา พระหนุ่มรูปนั้นพาเณรเป้ไปยังถ้ำแห่งหนึ่งที่พระในวัดเอาไว้ใช้เป็นสถานที่ปลงอาบัติ และก่อนที่พระหนุ่มจะปล่อยเณรเป้ไว้ตามลำพัง ท่านก็ได้ส่งหนังสือสวดมนต์ให้เณรเป้เล่มหนึ่ง และหน้าปกของหนังสือสวดมนต์เล่มนั้นก็เขียนไว้ว่า


“อุณหิสวิชัยคาถา” หรือ “คาถาต่อดวงชะตา” นั่นเอง !!!!


เพราะพระหนุ่มรูปนั้น และท่านเจ้าอาวาส รู้ได้ด้วยญาณของท่านว่า บัดนี้ เณรเป้ชะตาชีวิตได้ขาดลงเสียแล้ว และถ้าหากไม่ทำพิธีสืบชะตาให้ภายในคืนนั้น เจ้ากรรมนายเวรของเณรจะต้องมาตามเอาคืนอย่างแน่นอน เนื่องด้วยกรรมของเณรนั้นหนักหนาสาหัสนัก ทั้งฆ่าพ่อ ด่าแม่ ขโมยของ ทำร้ายผู้อื่น และผิดศีล....

แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครหนีเวรกรรมของตัวเองพ้น เมื่อเณรเป้ถูกก้อนหินที่เขาปาเข้าใส่พุ่มไม้ สะท้อนกลับมาโดนตัวเอง ด้วยแรงเหวี่ยงที่มากกว่าเดิมเป็นสิบๆ เท่า จนใบหน้าที่เคยหล่อเหลา แหลกเหลวจนดูเหมือนก้อนเนื้อที่ใกล้เน่า !!!! เณรเป้ที่เคยเก่งกล้า และคึกคะนองไม่รู้จักคิด ได้แต่นอนร้องโอดโอย ดิ้นพราดๆ ด้วยความเจ็บปวดอยู่บนพื้น พร้อมๆ กับเริ่มรับรู้ถึงความเจ็บปวดของเหยื่อทั้งหลายที่เคยถูกเขาปาหินเข้าใส่รถ....มันเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสอย่างนี้นี่เอง... ไม่เจอกับตัวไม่มีวันเข้าใจ


และในห้วงเวลาก่อนที่เปลวเทียนแห่งชีวิตจะดับลง เณรเป้ก็หยิบโทรศัพท์ที่พ่อทิ้งไว้ก่อนตาย ขึ้นมาโทรหาแม่.....คนเพียงคนเดียวที่รักเขามากที่สุดในโลก และสามารถให้ความอบอุ่นปลอดภัยกับเขาได้มากกว่าใครๆ “แม่ผมขอโทษ....ผมขอโทษแม่ !!!!!...แม่ช่วยผมด้วย.... ”.....แต่อนิจจา เสียงที่แม่ได้ยิน กลับเป็นเพียงเสียง หวีดหวิว ไร้ซึ่งถ้อยคำ.....และก่อนที่เทียนจะดับลงอย่างสมบูรณ์ เณรเป้ก็ตะโกนร้องหาพ่อ “พ่อผมขอโทษ !!!”

เมื่อสิ้นเสียงนั้น และเปลวเทียนแห่งชีวิตได้ดับวูบลง เณรเป้ก็ก้มลงมองมือตัวเอง และเห็นว่ามือนั้นค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น และยาวขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อรู้สึกตัวอีกที ร่างของเขาก็สูงพ้นยอดไม้ไปเสียแล้ว และได้ตกลงไปอยู่ในห้วงเหวอันมืดมิด ที่มืออันแสนอบอุ่นของแม่จะไม่มีวันจะเอื้อมไปถึงอีกเลยชั่วกัปชั่วกัลป์...





**ข้อบ่งใช้ : เพื่ออรรถรสในการอ่านบล็อกนี้และดู "หลาวชะโอน" โปรดฟัง

เพลง
"คนที่ฆ่าฉัน" ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ไป


พร้อมๆ กันด้วยค่ะ เพราะเนื้อเพลง จะบอกสิ่งที่อยู่ในใจเป้ และ


เด็กๆ อีกหลายคนที่มีปัญหา แบบค่อนข้างเกินเยียวยา ให้เรา

ได้รับรู้ถึง
จิตใจ และความเจ็บปวดของพวกเขาได้ด้วยค่ะ



อ่านจนจบแล้ว ทราบหรือยังคะว่า "ใครฆ่าเณรเป้"



จาก Blog ใน http://www.momypedia.com/