วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Looper: เมื่อมีสิ่งนี้่ สิ่งนั้นจึงเกิด

Spoiler Warning


                                                        กฎข้อหนึ่งของโลกใบนี้คือ


                                                          "เมื่อมีสิ่งนี้ สิ่งนั้นจึงเกิด"




และ ถ้าไม่มีสิ่งนี้ สิ่งนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นเหมือนกัน


ฉะนั้น ถ้าใครคนหนึ่งไม่อยากให้อะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวเอง หรือกับคนที่ตัวเองรัก คนผู้นั้นก็จะพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะไม่ให้ "สิ่งนี้" มีขึ้น เพื่อจะได้ไม่ต้องส่งผลให้เกิด "สิ่งนั้น" ตามมา


และกฎข้อนี้ ก็คือหัวใจเกือบทั้งหมด ของ "Looper"


เมื่อโลกอนาคตสามารถสร้างเครื่องย้อนเวลาได้ การส่งคนที่ไม่พึงประสงค์กลับมาฆ่าทิ้งในอดีต เพื่อลบคนๆ นั้นออกไปจากโลกโดยที่เงื้อมมือของกฎหมายจะเอื้อมไปไม่ถึง จึงเป็นเรื่องที่เหล่าอาชญากรแกงค์ใหญ่ๆ ของโลกอนาคตนิยมทำกัน แม้ว่าการมี และการใช้เครื่องท่องเวลาจะเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายของโลกอนาคตก็ตาม (เข้าใจว่ากฎมีขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ใครต่อใครย้อนเวลากลับไปแก้ไขนู่นนี่กันได้ตามอำเภอใจ ไม่อย่างนั้นโลกคงถึงกาลวิบัติแน่ๆ)


ที่โลกอดีตมีกลุ่มนักฆ่าที่เรียกกันว่า "Looper" คอยถือปืนปากแตรยืนอยู่ในทุ่งโล่งห่างไกลผู้คน และคอยดูเวลาในนาฬิกาพกอยู่ตลอด เพื่อรอเวลานัดหมาย


เมื่อเข็มวินาทีเลื่อนไปถึงช่วงเวลาที่ทางโลกอนาคตนัดหมายมา บนผืนผ้าพลาสติกเบื้องหน้า ซึ่งทำหน้าที่เสมือนแดนประหาร ก็จะปรากฏร่างของคนใส่เสื้อหนังกลับสีน้ำตาล มีถุงสีขาวคลุมหัว มือถูกมัดไพล่หลัง และในชั่วเสี้ยววินาทีที่บุคคลปริศนานี้โผล่ขึ้นมาบนผืนพ้าพลาสติกแบบปัจจุบันทันด่วน ปืนปากแตรของเหล่า "Looper" จะปล่อยกระสุนพิฆาตออกไปปลิดวิญญาณคนเหล่านี้ ไม่พลาดแม้สักวินาทีเดียว และเมื่อจัดการกับ "นักโทษประหาร" เสร็จแล้ว พวกเขาจะต้องเอาแท่งเงินที่ติดไว้ที่หลังของนักโทษไปให้ต้นสังกัด แล้วแต่ละคนก็จะกลับไปใช้ชีวิตฟู่ฟ่า หรูหรา เล่นยา มั่วผู้หญิง และวนอยู่ใน "ลูป" ชีวิตแบบเดิมซ้ำๆ แบบนี้ไปจนกว่า.....



"การหยุดลูป" จะมาถึง



การหยุดลูป คือการฆ่าตัวเองในอนาคต หรือตัวเองในตอนแก่นั่นเอง ฆ่าตัวเองตอนแก่เสร็จ "Looper" ก็รับทองแท่งจำนวนมากพอให้ใช้ชีวิตไปได้จนถึงตอนที่ตัวเองจะถูกส่งกลับมาฆ่าในอดีต ซึ่งนั่นก็คือ 30 ปีนั่นเอง


เรื่องจะไม่ยุ่งยาก ถ้าอยู่ดีๆ จะไม่มีการหยุดลูปแบบล้างบาง จากคนที่ถูกเรียกว่า "The Rainmaker" หัวหน้าแกงค์อาชญากรสุดโหดจากโลกอนาคต ที่ไม่มีใครเคยเห็นหน้า แต่มีข่าวลือว่าเขาแน่มาก คุมทุกแกงค์ด้วยตัวคนเดียว เขาใส่กรามปลอม เเละในวัยเด็กเขาเห็นแม่แท้ๆ ถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตา ซึ่งนั่นเองคงเป็น "สิ่ง" สำคัญ ที่ทำให้ "The Rainmaker" เดินเข้าสู่ "ลูป" ของการฆ่า และต้องการฆ่าล้างบางทุกคนที่อยู่ในอดีตตอนเกิดเหตุฆาตกรรมแม่ของเขา เพื่อจะหยุด "ลูป" บางอย่าง


และ "Old Joe" หรือก็คือ พระเอกตอนแก่ (แสดงโดย บรูซ วิลลิส) ก็กลับไปในอดีตเพื่อไปหยุด "ลูป" บางอย่างด้วยเช่นกัน



แต่สุดท้ายแล้ว ด้วยกฎของโลกที่ซ้อนกันอยู่ 2 กฎ นั่นคือ



"เมื่อมีสิ่งนี้ สิ่งนั้นจึงเกิด"


และ


"ถ้าไม่มีสิ่งนี้ สิ่งนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นเหมือนกัน"


สุดท้ายแล้ว ใครคนหนึ่งจึงตัดสินใจทำให้บางสิ่งไม่มี เพื่อที่อีกสิ่งหนึ่งจะได้ไม่เกิดขึ้น


และนั่นคือการ "หยุดลูป" ทั้งหมด อย่างแท้จริง.....


และนอกจากการตัดสินใจ "หยุดลูป" ด้วยการกระทำบางอย่างแล้ว


ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น เพื่อเปลี่ยนแปลงบางอย่างอีกด้วย


สิ่งนั้นคือ "คำพูด" ง่ายๆ เพียงประโยคเดียว แต่เป็นเพียงประโยคเดียวที่เปลี่ยนทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นแบบพลิกฟ้า พลิกแผ่นดินเลยทีเดียว มันเป็นประโยคที่ผู้หญิงคนหนึ่งปลอบประโลมลูกชายผู้กราดเกรีี้ยวของเธอให้เย็นลง และมันช่วยหยุดเขาไม่ให้ฉีกร่างคนเป็นชิ้นๆ ได้



เธอพูดว่า "Mami love you….."


ง่ายๆ แต่อ่อนโยน ลึกซึ้งจากแม่ที่รักลูกปานดวงใจ



แล้วทุกสิ่งที่กำลังจะระเบิดก็ดับวูบลง พร้อมน้ำตาที่ไหลรินของเด็กน้อย เสียงสั่นเครือของเขาเรียกหาแต่  "Mami"



ปีศาจจากไปแล้ว


ลูปแห่งการฆ่าจึงหยุดลง










วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

The Skin I Live In: ภายใต้ผิวหนังนั้น ฉันคือใคร?

วันนี้ไปนวดตัวมา 2 ชั่วโมง และตั้งใจไว้ว่า นวดเสร็จ จะต้องรีบไปดูหนังเรื่องนี้ให้จงได้ แม้ว่าตอนจองตั๋วจะมีเรื่องน่าหงุดหงิดนิดหน่อยเกี่ยวกับพนักงานที่แจ้งรายละเอียดสิ่งที่เราถามไปไม่หมด ทำให้ต้องเสียเงินค่าตั๋ว ทั้งที่เรามี Gift Vocher ที่ไม่ต้องเสียเงินสักบาทอยู่ในมือ และมันก็ยังใช้ได้ตามปกติ และใช้ได้กับทุกที่นั่งด้วย แต่นางเพิ่งมาบอกตอนจ่ายตังค์แล้ว ออกบิลแล้ว เปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว shit! (เดี๋ยวจะกลับมาเล่าอีกทีว่าอี SF ที่ CTW มันทำให้หงุดหงิดยังไง)



แต่...ช่างแม่งเหอะ พอเข้าไปดูหนัง หลังจาก 10 นาทีแรกผ่านไป ความหงุดหงิดใจก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง หันไปจดจ่อกับหนังแทน และเริ่มคิดได้ว่านี่อาจเป็นหนังที่ดีที่สุดที่เราจะได้ดูในปีนี้ก็ได้นะเนี่ย (จริงๆ นี่คือหนังหนังของปี 2011).....จึงต้องกลับมาเปิดบล็อกที่ล็อคไว้เป็นการด่วน เผื่อว่าจะมีใครมาเสิร์ชเจอ แล้วกำลังคิดจะไปดูหนังเรื่องนี้อยู่ แต่ยังไม่แน่ใจในความสนุก เค้าจะได้ไม่พลาดหนังเรื่องนี้....



“The Skin I Live In” หนังของเจ้าป้า “Pedro Almodóvar” เรื่องนี้ มันควรค่าแก่การไปดูยังไง (ใครๆ ก็เรียกนางว่า “เจ้าป้า” ด้วยความเคารพ เพื่อนๆ ที่สตาร์พิคก็เรียกนางว่าเจ้าป้า อันที่จริงเราเคยเกือบจะได้ดูรอบสื่อ “Bad Education” ตอนที่มันมาฉายในไทยของเจ้าป้าแล้ว แต่ก็ไม่ได้ดู รู้สึกตอนนั้นจะโดนแย่งโควต้าไป T__T แต่ก็พอจะรู้ทางหนังของนางอยู่บ้าง ป้าแกเป็นเกย์เปิดเผย ก็มีประเด็นเกย์และรักร่วมเพศแทรกมาบ้างในหนังบางเรื่อง เอ๊ะ !!! หรือทุกเรื่อง !!) “The Skin I Live In” เป็นหนังประเภทที่ว่า ก่อนเข้าไป เราคิดว่าเราจะได้ดูหนังแบบหนึ่ง แต่พอดูจนจบ ออกมาจากโรงแล้ว กลายเป็นว่าเราได้ดูหนังอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับที่คิดเอาไว้แต่แรกเลย หนังมันคาดเดาอะไรไม่ได้เลย เจ้าป้าเขียนบทได้ดีมาก แม้หน้าหนังจะแลดูเรื่อยๆ มาเรียงๆ บวกกับชื่อไทยที่น่าเข้าใจผิด ว่าเป็นหนังแนวพิศวาสฆาตกรรมอะไรรึเปล่า เปล๊า !!!



มันคือหนังดราม่า ทริลเลอร์โรคจิตเรื่องหนึ่ง ที่มีเนื้อเรื่องหักไปคนละทางกับตอนเริ่มเรื่องเลย หักแบบตกเก้าอี้ตาย ตอนที่ดูผ่านไปสักครึ่งชั่วโมงโดยประมาณ พอจะเริ่มจับต้นชนปลายถูกบ้างแล้ว ก็ได้แต่คิดว่า “มึงอย่านะๆ มึงจะเล่นงี้เลยเหรอ” ซึ่งเล่าไม่ได้ด้วย ว่าอะไรยังไง ขืนเล่าไป อรรถรสในการรับชมจะหมดลงทันที แต่อย่าไปหวังการหักมุมแบบ “Identity” หรือ “The Others” อะไรงี้นะ ไม่ได้มาแนวนั้น แต่บอกได้คำเดียวว่า “The Skin I Live In” ทำให้เราเข้าใจว่า คำว่า “อำมหิต” นั้น ไม่จำเป็นต้องทำให้ตายก็ได้ และการบังคับให้คนๆ หนึ่ง มีชีวิตอยู่ในชีวิตที่ตัวเองไม่เคยอยากจะได้มา มันโหดร้ายเสียยิ่งกว่าการฆ่ากันเสียอีก แล้วมันก็ยังทำให้เรารู้ว่า โรค Stockholm Syndrome นั้นสามารถเกิดขึ้นกับคนร้ายได้มากพอๆ กับที่จะเกิดกับขึ้นเหยื่อที่ถูกจับตัวไป...



เรื่องย่อๆ เท่าที่สามารถเล่าให้ฟังได้ ก็คือ มีหญิงสาวสวยมากนางหนึ่ง มีชีวิตอยู่ในห้องที่ถูกปิดทางเข้าออกไว้หมด เธอใส่แต่ชุดรัดรูปแนบเนื้อสีเนื้อ และเธอถูกจับตาดูตลอด 24 ชั่วโมงด้วยกล้องวงจรปิดที่คุณภาพดีมาก โดยภาพจะไปปรากฏอยู่ในครัวให้คนรับใช้ที่คอยดูแลเธอได้เห็นความเป็นไปต่างๆ ของเธอภายในห้องนั้น นอกจากมีคนรับใช้คอยเฝ้าดูชีวิตประจำวันของเธอแล้ว ทุกอย่างที่เธอทำ ยังไปปรากฏอยู่บนจอภาพใหญ่บะเริ่ม ที่ตั้งอยู่ในห้องของศัลยแพทย์ชื่อดัง ที่สูญเสียภรรยาผู้เป็นที่รักยิ่ง และงดงามมากไปในกองไฟ  เขาชอบมานั่งดูเธอผ่านทางจอภาพขนาดใหญ่นั้นอย่างหลงไหล หลังเขากลับจากทำงาน และเขามักจะซูมเข้าไปดูใบหน้าของเธออย่างใกล้ชิดเสียด้วย ศัลยแพทย์ผู้นี้ดูเหมือนกำลังทำการทดลองเรื่องปลูกถ่ายยีนจากหมูมาสู่คน เพื่อให้ได้ผิวหนังที่ทนทานต่อไฟไหม้ และโรคมาลาเรีย (ยุงกัดไม่เข้า)  และเค้าก็ไม่ได้ทำการทดลองกับสัตว์ทดลองเสียด้วย....



เริ่มเดาเรื่องได้มั่งยัง แต่ช้าก่อน มันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิดก็ได้ แล้วผู้หญิงในห้องปิดตายนั้นเป็นใคร...แล้วยังมีแม่บ้าน ท่าทางจิตๆ อีกคน ที่ทำหน้าที่ดูแล หญิงสาวผู้นี้ โดยไม่ถามนายของตัวเองสักคำ   ว่าทำไมจึงต้องล็อคห้องของหญิงสาว ปริศนาคนนี้ไว้ตลอดเวลา ปริศนาทั้งหมดนี้ คงต้องเสียเวลาไปดูกันเองแล้วล่ะ ซึ่งรู้สึกว่า ณ ตอนนี้ จะมีฉายอยู่แค่ที่ CTW เจ้าปัญหาที่เดียวเท่านั้น แต่มีรอบให้ดูหลายรอบอยู่



และคืนนี้คงจะใช้สมองขบคิดถึงหนังเรื่องนี้อีกนานเลย และคงจะสร้างตอนจบแบบที่ตัวเองต้องการไว้ดูเองในสมองด้วย เพราะมันยังเหมือนขาดอะไรไปอีกหน่อยนะ หน่อยเดียวเท่านั้น....


หมายเหตุ: entry นี้เขียนไว้ที่อีกบล็อกนึง ณ วันเสาร์ที่ 28 ม.ค. 2555

การ์ตูนที่รักและรักยิ่ง (รวมมิตร)

จริงๆ สมัยเรียนที่เชียงใหม่ เคยทำ List การ์ตูนที่อ่านแปะไว้หน้าประตูห้องที่หอ จะได้จำได้ว่าตัวเองอ่านการ์ตูนเรื่องไรมั่ง เพราะเยอะจัด 30 กว่าเรื่องได้ ก็จะมีตกๆ หล่นๆ ตามได้ไม่ครบ เลยเขียนแปะไว้เลย ถึงเวลาจะได้นึกออก ว่าเรื่องไหนที่ต้องไปตามว่ามันออกรึยัง  เสียดายว่าตอนย้ายกลับบ้านที่กรุงเทพฯ ด้วยความเบลอบวกกับความวุ่น เลยเอามันไปทิ้งไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ และ List นี้ ทำขึ้นมาทดแทน List อันเก่า แต่ต่างจุดประสงค์กันเล็กน้อย เพราะบางเรื่องใน List นี้ จบไปแล้วก็มี เลิกออกไปสักพักแล้วก็มี นานๆ ออกทีก็มี จุดประสงค์ของการทำ List นี้ขึ้นมา ก็เพื่อให้ตัวเองจำได้ว่า การ์ตูนที่รักทั้งหลาย มีเรื่องอะไรบ้าง เรียงตามลำดับความสำคัญ และอิทธิพลที่มีมันต่อเรา จากมากที่สุดไปถึงมาก (ไม่เคยมีคำว่าน้อย สำหรับการ์ตูนทุกเรื่องที่อ่าน ขอกราบงามๆ บรรดาคนวาดและคนแต่งเรื่องของการ์ตูนในลิสต์นี้ทุกท่าน)



1.ป๋าอัจฉริยะ ยานางิซาว่า เรื่องนี้ค้นพบในร้านการ์ตูนตอนเรียนอยู่มหาลัยปี 2 พอดีหอที่พักอยู่ ด้านหน้ามีร้านเช่าหนังสือการ์ตูนมาเช่าพื้นที่อยู่ เลยเดินเข้าออกเป็นเถือกทุกวัน แถมยังไปช่วยเค้าห่อปก เพื่อที่จะจองหนังสือการ์ตูนเล่มโปรดที่ออกมาใหม่ด้วย แบบว่าห่อเองเสร็จปุ๊บ เราก็ยืมปั๊บเลย และป๋าก็เป็น หนึ่งในนั้น


ความพิเศษของป๋า คือ

- ท่าเดินเป็นเส้นตรง และมุมฉาก ไม่มีการเลี้ยว   ไม่ค่อยจะถอย
   สิ่งกีดขวาง ถ้ามีอะไรมาขวาง   ทาง นั่นเป็นเพราะแกไปผิด
   เวลา ทุกอย่างจึง   ไม่เหมือนกับที่แกคำนวณไว้ทุกครั้ง


- ตาตี่ๆ หรี่ๆ มีคนเคยสงสัยว่า ป๋าเคยลืมตารึเปล่า และทัศนวิสัย
   ของป๋าเป็นเช่นไร... เรื่องนี้   ไม่มีคำตอบให้

- ป๋าสอนเศรษฐศาสตร์ ดังนั้นป่าจึงเชื่อว่าของฟรีไม่มีในโลก และป๋าคิดว่าถ้าเราคำนวณ    ดีๆ เราจะได้
   ของถูกในเวลาที่ถูกต้อง ฯลฯ ความเชื่อและวิธีคิดของป๋า ยังมีอีกมากมาย จาระไนไม่หมด และ
   ทุกอย่างล้วนเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้เสมอ ตอนเรียนวิชาการเขียน เคยเอาเรื่องของป๋าไปเขียนส่ง
   อาจารย์ด้วย... มันช่างเป็นการ์ตูนที่ทำให้เราอิ่มเอิบ อิ่มอกอิ่มใจ ทำให้เรามีความสุข และให้คำตอบ
   บางอย่างแก่เราได้ดีจริงๆ รักคนเขียนการ์ตูนเรื่องนี้ที่สุด




2. คิอิจิ เด็กชายวัย 3 – 4 ขวบ ที่เห็นพ่อแม่ถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาย และตัวเองก็พลัดหลงไปอยู่กับคนจรจัดนานถึง 1 ปี แล้ว
 ก็หนีเข้าไปอยู่ในป่าเพียงลำพังในวัย 4 ขวบ ก่อนจะกลับออกมาสู่โลกภายนอก และกลับไปหาครอบครัวในที่สุด ในสภาพที่ไม่เหมือนคิอิจิคนเดิมอีกต่อไป และเมื่อเติบโตขึ้น สิ่งต่างๆ ที่พบเจอมาในวัยเด็ก ก็หล่อหลอมให้คิอิจิมีนิสัยต่อต้านสังคม แต่ก็รักความยุติธรรม และไม่ชอบคนที่รังแกคนอื่นพอๆ กับที่ไม่ชอบคนที่ยอมให้ตัวเองถูกคนอื่นรังแก ทั้งเรื่องมีอยู่ประโยคนึงที่จำขึ้นใจที่สุด และเป็นกำลังใจให้เราเสมอมา มันคือวันที่คิอิจิในวัย 4 ขวบ พูดกับพ่อแม่บนสวรรค์ในคืนที่มืดมิดคืนหนึ่งว่า
“พ่อ แม่...ขอบคุณที่ให้เกิดมา... ไม่ต้องเป็นห่วงนะอยู่คนเดียวได้”






3. ผู้ผนึกมาร เรื่องนี้ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นการ์ตูนต่อสู้ ผสมสัตว์ประหลาดและเวทย์มนตร์คาถาพื้นๆ ทั่วไป แต่พออ่านไปอ่านมาแล้วจะพบว่า นอกจากวิถีชีวิตยามค่ำคืนของโยชิโมริ พระเอกของเรื่อง จะเป็นไปในแบบที่เราใฝ่ฝันถึงแล้ว (ดึกสงัด และไร้ผู้คน) วิธีคิดของตัวละครหลายๆ ตัวในเรื่อง แม้กระทั่งตัวร้าย ยังน่าสนใจมากอีกด้วย ในเล่มล่าสุด บุคคลที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเรื่องราวของผู้ผนึกมารขึ้นมา พูดกับโยชิโมริ ว่า “เธอฉลาดกว่าฉัน...เพราะฉันเชื่อแต่ตัวเอง มันจึงเป็นแบบนี้”



และประโยคที่กระตุกที่สุดคือ ประโยคที่แม่ของโยชิโมริ (อันที่จริงเป็นหุ่นตัวแทนที่ถูกสร้างขึ้นโดยแม่ของโยชิโมริเอง ให้มาช่วยงานสำคัญ แต่แม้จะเป็นแค่หุ่นตัวแทน ทว่าความรู้สึกนึกคิด และความสามารถของหุ่นตัวแทนนี้ เหมือนแม่ของโยชิโมริที่เก่งระดับเทพ 100 เปอร์เซ็นต์) พูดว่า “ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลง ... และไม่มีอะไรที่ไม่มีวันจบสิ้นหรอก”




4. กีฏจารย์กับอาถรรพ์แมลงพิสดาร
การ์ตูนเรื่องนี้ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่บนแผงการ์ตูนตลอดเวลา เดี๋ยวมามั่ง ไม่มามั่ง แต่ถ้ามาเมื่อไหร่ ก็กินใจเมื่อนั้น แนวคิดหลักของมันประหลาดดี การดำเนินเรื่อง และไอเดียของแต่ละตอนก็จินตนาการบรรเจิดมาก และขณะที่ตั้งใจว่าจะเล่าอยู่นี้ เราก็จำรายละเอียดปลีกย่อยของมันไม่ค่อยได้เลย เพราะว่ามันละเอียดมาก บรรเจิดมากเกินกว่าที่สมองน้อยๆ ของเรามันจะจำไหว



ตอนที่ชอบที่สุดคือ ตอนที่แมลงอะไรสักอย่าง ออกฤทธิ์ต่อเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ทำให้เด็กผู้หญิงคนนั้น เหมือนหายตัวไปจากบ้าน และทุกคนในบ้านจะมองไม่เห็นเธอ ในขณะที่ทุกคนคิดว่าเด็กหญิงได้ตายไปแล้ว มีแต่พี่สาวที่คอยเอาตุ๊กตาไปวางไว้ให้ เพราะเชื่อว่าน้องยังอยู่ในบ้าน และเดี๋ยวน้องจะต้องกลับมา จริงๆ เด็กหญิงก็ยังไม่ตาย แต่เป็นเพราะแมลงนั้นสร้างอะไรบางอย่างบังตาทุกคนไว้ เหมือนทำให้เด็กหญิงกับคนในบ้านอยู่กันคนละมิติ... แล้วกีฏจารย์ของเราก็มา สำรวจหาสาเหตุ ทำการรักษา แล้วเด็กหญิงก็ได้กลับมาสู่อ้อมกอดของครอบครัวอีกครั้ง เราชอบฉากที่พี่น้องเจอกัน





5. H2 เรื่องนี้คงไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะมันเป็นของท่านปรมาจารย์ อะดะจิ มิซึรุ ที่ทั้งเรื่องไม่ได้มีอะไรมากเลย แค่เพื่อนรักสองคนที่ชื่อขึ้นต้นด้วยตัว H เหมือนกัน ฮิเดโอะ กับ ฮิโร่ ทั้งสองกำลังเฝ้ารอจังหวะ และเวลาที่จะได้มาแข่งกันเอง ในสนามเบสบอลโคชิเอ็ง... แค่นั้นเองแหละ จุดเริ่มต้นและจุดจบของการ์ตูนเรื่องนี้ แต่ระหว่างทางที่อ่านมัน... H2 ก็ให้อะไรเรามากมาย หนึ่งคือเรื่องมิตรภาพ สองคือเรื่องการไปให้ถึงความฝันของตัวเอง สามคือเรื่องที่ว่า พระเอกไม่จำเป็นต้องได้คู่กับนางเอกเสมอไป...



6.Heaven หลุดโลกเรสเตอรองต์ เรื่องนี้ชอบในความประหลาด และบรรยากาศพิลึกๆ ของมัน มีอย่างที่ไหน ไปเปิดภัตตาคารอาหารฝรั่งเศสอยู่ในสุสานญี่ปุ่นที่โบร๊าน โบราณมาก ทางเข้าก็หายากมาก เพราะมีแต่ป่าดงพงพี และกบเขียด ส่วนเจ้าของร้านและพนักงานแต่ละคนก็ล้วนแต่มีบุคลิกแปลกๆ ที่ทั้งตลก และน่ารำคาญปะปนกัน แต่อ่านแล้วก็มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก กับไอ้บรรยากาศการรวมตัวของเหล่าคนของพิลึกนี่แหละ



7. Death Note มีใครสักคนเคยบอกเราว่า Death Note เป็น One Hit Wonder ของ ทาเคชิ โอบาตะ และ สึกุมิ โอบะ เพราะพอสองคนนี้แยกกันไปทำงาน ก็ยังไม่ได้จะเคยมีอะไรออกมาดีเลิศได้เทียบเท่ากับ Death Note อีกเลย (บาคุแมน ของโอบาตะ มีปมดูถูกเพศหญิงค่อนข้างเยอะ เราเลยเลิกอ่าน)


แต่ Death Note ที่ทั้งคู่ทำไว้ร่วมกัน มันก็ถึงมากๆ ในหลายสิ่ง หนึ่งคือเรื่องที่ทำให้เราฉุกคิดถึงความตาย และความเป็นมนุษย์


ฉากที่ชอบที่สุด คือ ฉากก่อนที่ไลท์จะตาย มันร้องขอชีวิต มันลนลาน และมันไม่เท่อีกต่อไป (สำหรับใครที่ชอบคิดว่าไลท์เท่) คนชั่วมักเป็นเช่นนี้ แม้ไลท์จะคิดว่ามันเป็นคนดีก็ตาม เวลาคนชั่วมีอำนาจอยู่ในมือ มัน มักจะกร่าง และไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน แต่เวลาต้องเผชิญหน้ากับความตาย มันก็มักจะกลายเป็นแค่หมาจนตรอกตัวหนึ่ง


แต่ตอนแอลตาย แอลไม่ร้องขอชีวิตใครทั้งสิ้น ตายก็ตาย เพราะสิ่งที่ควรทำ ก็ได้ทำไปหมดแล้ว และการตายของแอล แอลไม่ติดค้างอะไรกับตัวเอง เพราะสุดท้ายแล้วเค้าก็ได้รู้ว่าตัวเองคิดถูก ที่ว่าไลท์คือคิระ (ถ้าแอลตายแบบคาใจว่าใช่ไลท์หรือไม่ ที่เป็นคิระ คิดว่าดวงวิญญาณของแอลคงไม่สงบสุขเท่าไหร่)



 8. Wonder Boy เราอยากจะเรียกการ์ตูนเรื่องนี้ว่า การ์ตูนอภิมหา ปรัชญา  เพราะอ่านแล้วต้องมานั่งทำความเข้าใจ กับมันอีกพักใหญ่ๆเลย ซึ่งก็เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจ บ้าง จัดเป็นการ์ตูนที่เข้าใจยากและล้ำลึกเรื่อง หนึ่ง... หรือจริงๆ แล้วบางที ทุกคำถามในการ์ตูน เรื่องนี้ อาจจะเป็นคำถามปลายเปิดก็ได้ กล่าวคือ ใครอยากจะตีความอย่างไร ก็สุดแล้วแต่    


ตอนที่เราชอบที่สุด คือ ตอนที่เด็กผู้หญิงขี้เหร่ในหมู่บ้านห่างไกล เชื่อว่าตัวเองเป็นเนื้อคู่กับเด็กหนุ่มรูปงามประจำหมู่บ้าน ซึ่งเรื่องก็จบลงตรงที่ ทั้งคู่เป็นเนื้อคู่กันจริงๆ ช่วยกันทำมาหากินจนแก่เฒ่า และตายไปด้วยกัน


กับอีกตอนที่พูดถึงชีวิตของโจรหนุ่มสมัยโบราณ รายหนึ่ง จำเนื้อเรื่องไม่ค่อยได้แล้ว รู้แต่ว่า มัน เศร้ามาก และมันมีแต่คำถามเต็มไปหมด และแม้โจรหนุ่มนั้นจะฆ่าคนตาย แต่เรากลับมองว่า เค้าไม่ได้เป็นคนไม่ดีแต่อย่างใด เพราะชีวิต  ซับซ้อนกว่านั้น และโจรหนุ่มผู้นั้นก็ยังมีอะไรบางอย่างที่สง่างามมากอีกด้วย



9. อิคิงามิ สาส์นสั่งตาย เป็นการ์ตูนที่อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อแบบ คอมมิวนิสต์ยังไงชอบกล เอาทุกคนมาจับยัดๆ ใส่ๆ ลงไปในลังใบเล็กๆ ใบหนึ่ง ถ้าใครอยาก ออกมานอกลัง นั่นคือมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับ คนๆ นั้น ถ้าอ่านๆ ไปแล้ว จะรู้สึกคุ้นๆ ว่าเหตุ การณ์ทำนองนี้ก็เกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศ ใน หลายๆ สังคมเลยนะ ประเภทที่ว่าถ้าใครแตก แถวจากสิ่งที่อำนาจสูงสุดกำหนดลงมา คนผู้นั้น ก็ถือว่ามีความผิดร้ายแรง สมควรจะต้องถูกจัดการ    


ตอนที่เราชอบที่สุดของอิคิงามิ คือ ตอน “พลีชีพ เพื่อชาติ” เรื่องของเด็กหนุ่มแสนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ทำงานอยู่ในบ้านพักคนชรา และรู้สึกติดใจกับ คุณยายคนหนึ่ง ที่ไร้การตอบสนองกับทุกสิ่งรอบ ตัว เพราะคุณยายกำลังรอคอยคนรักที่ไม่มีวัน กลับมา เพราะเขาตายไปในสนามรบตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว



และแน่นอนสุดท้ายแล้ว เด็กหนุ่มคนนั้นก็ตาย เพราะ”วัคซีนผดุงความรุ่งเรืองแห่งชาติ” แต่ก่อนตายเค้าก็สามารถทำ ให้คุณยายลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง และได้พบเจอกับสิ่งที่คุณยายเฝ้ารอมาตลอดทั้งชีวิต





10. คุโรซากิ บริษัทรับส่งศพไม่จำกัด
เมื่อแรกไม่กล้าอ่านการ์ตูนเรื่องนี้เท่าไหร่ เพราะมันมีภาพวาดที่ค่อนข้างโหดอยู่พอสมควรประเภทสมองไหล ไส้ทะลัก ลูกตากระจุย อะไรประมาณนี้ กระทั่งบัดนี้ก็ยังมีอยู่ตอนนึงที่เรายังไม่กล้ากลับไปอ่านมันอยู่ดี มันอยู่ในเล่มแรกๆ ไม่ 1ก็  2 นี่แหละ และมันมีชื่อตอนอย่างไม่เป็นทางการว่า “อยากเกิดเป็นนกจังเลย” (คุโรชากิเป็นการ์ตูนที่มักจะจงใจตั้งชื่อตอนแต่ละตอนให้ยาว และไม่เข้ากับเนื้อเรื่อง คนอ่านเลยมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการไว้เรียกกันเอง เพราะจำชื่อตอนอย่างเป็นทางการกันไม่ค่อยได้)        


แต่หลังจากที่เสพย์ติดการ์ตูนเรื่องนี้ไปในที่สุด เราก็พบว่า ภายใต้หน้ากากที่น่าสยดสยองนั้น มีเรื่องราวดีๆ ซ่อนอยู่มากมาย  และมันทำให้ประโยคภาษาอังกฤษประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาอยู่ในหัวสมองของเราทุกครั้งที่อ่านการ์ตูนเรื่องนี้


"Everyone has their own story" ทุกคนล้วนมีเรื่องราวของตัวเอง....เพราะตัวละครแต่ละตัวในคุโรซากิ ล้วนมีเงื่อนปมผูกอยู่ในชีวิตกันทุกคน ภายใต้คาแรคเตอร์ที่บ้าๆ บอๆ เพี้ยนๆ และดูไม่เอาอ่าวนั้น จริงๆ แล้วทุกคนในบริษัทรับส่งศพนี้    ผ่านเรื่องราวโหดร้ายกันมาแล้วทุกคน  ....


“หนุ่มหุ่นมือ” คือ ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว จากเหตุการณ์ฆ่าตัวตายยกครัว ที่พ่อของเค้า เป็นผู้กระทำ และหุ่นมือที่เค้าใส่ติดมือไว้ตลอด 24 ชั่วโมง ก็คือหุ่นมือของน้องสาวตัวน้อย ผู้ล่วงลับ จากเหตุการณ์ฆ่าตัวตายครั้งนั้นนั่นเอง เค้าใส่หุ่นมือนั้นตลอดและทำราวกับว่ามัน มีชีวิตของมันเอง เพราะมันถูกวิญญาณอวกาศชั้นสูงสิงอยู่   และเป็นเอกเทศจากตัวเค้า   ไม่มีใครรู้ว่ามันจริงหรือไม่ ขนาดเพื่อนๆ ในเรื่องยังไม่ค่อยเชื่อ แต่ถ้าวิเคราะห์จากปูมหลัง มันคงเป็นอาการทางจิตอย่างหนึ่ง



ส่วน “สาวน้อยเอมบาล์มมิ่ง” (คนทำความสะอาด และตกแต่งศพทุกสภาพ) ก็เห็นศพแม่ของตัวเองที่กระโดดให้รถไฟทับตาย ในระยะประชิด ทั้งยังถูกใช้ให้ถือหัวแม่ของตัวเองเอาไว้อีกด้วย....ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือ ล้วนผ่านเรื่องราวทำนองนี้มาเหมือนๆ กัน แต่เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าพวกเค้าผ่านความเจ็บปวดเหล่านั้นมาได้อย่างไร เพราะการ์ตูนไม่ยอมบอก     




11. Skyhigh ฟ้าเบื้องบนนั่นมีใครจ้องมองดูเราอยู่ เวลาที่เราทำชั่ว เวลาที่เราถูกใครบางคนฆ่าตาย....”อิซึโกะ” คนเฝ้าประตูแห่งความเคียดแค้น จะออกมาบอกกับวิญญาณที่ถูกฆ่าตายทุกดวงว่า “คุณมีทางเลือกอยู่ 3 ข้อ คือ หนึ่ง ไปสวรรค์และรอคอยการเกิดใหม่... สอง ไม่ยอมรับความตาย และกลับไปเป็นวิญญาณล่องลอยอยู่ในโลกมนุษย์... สาม ฆ่าจองเวรคนที่ฆ่าคุณ”


และ 99% ของดวงวิญญาณที่ไปที่นั่น เลือกข้อ 3


มันเป็นการ์ตูนที่ทำให้เราได้เห็นด้านมืด ด้านชั่วร้าย ด้านอุบาทว์ของมนุษย์อย่างสุดๆ ชีวิตเส็งเคร็งกันได้สุดๆ...ความสวยงามไม่เคยมีอยู่จริง...เพราะมนุษย์ล้วนทุกปลุกด้วยความมืดมิดได้เหมือนกันหมดทั้งสิ้น



12. ผีซ่ากับฮานาดะ ถ้าเรื่องข้างบนเป็นความมืดดำ เรื่องนี้ก็เป็นความขาวสะอาด และบริสุทธิ์....กับเด็กซ่า หัวโจกที่วันๆ เอาแต่ก่อเรื่อง และแกล้งคนอื่น แต่เมื่อเค้าฟื้นจากความตาย และมองเห็นผีแถวๆ บ้าน เค้าก็กลายเป็น Ghost Whisperer ภาคเด็กเกรียน ที่ต้องคอยไปช่วยเหลือบรรดาผีๆ ทั้งหลาย ให้ได้บรรลุความปรารถนาอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะไปสู่สุคติ


แล้วเจ้าเด็กซ่าฮานาดะก็ค่อยๆ เรียนรู้การช่วยคนอื่น ความดีงาม และความรัก เรื่องราวที่เกิดขึ้นในการ์ตูนสอนฮานาดะไปพร้อมๆ กับสอนคนอ่าน


และเราคงไม่รู้จักการ์ตูนเรื่องนี้ ถ้าพี่ที่ร้านเน็ตแถวบ้านไม่แนะนำให้อ่าน และร้านเช่าการ์ตูนแถวบ้านไม่ดันมีเล่มที่เยินที่สุดรอให้เราไปเช่ามาอ่านพอดี....


รักการ์ตูนเรื่องนี้จริงๆ มันจบที่เล่ม 5 และเราร้องไห้เพราะคิดถึงมัน....อยากเข้าไปมีชีวิตอยู่ในการ์ตูนเรื่องนี้  เพราะบรรยากาศชนบท บ้านๆ ในการ์ตูนเรื่องนี้มันอบอุ่นและเรียบง่ายที่สุดเท่าที่เคยอ่านมาเลยแหละ




หมายเหตุ: entry นี้ สำเนามาจากอีกบล็อกนึง ที่เป็นส่วนตัวกว่าบล็อกนี้ แต่มันเป็นเรื่องของการ์ตูนที่รัก ก็เลยอยากจะเผื่อแผ่มายังคนอื่นๆ ด้วย